Facebook ตกเป็นข่าวฉาวอีกครั้งหลังจากผู้ร่วมก่อตั้ง Facebook ออกมาตั้งข้อสังเกตว่าเครือข่ายสังคมยักษ์ใหญ่นั้นเป็นอันตรายและควรถูกจัดการโดยภาครัฐ ชี้เป้าซีอีโออย่างมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) มีพลังโหวตสูงมากผิดปกติและเป็นพลัง “un-American” ที่ไม่ได้มาจากคนอเมริกันตัวจริง
คริส ฮิวจ์ (Chris Hughes) เป็นผู้ร่วมก่อตั้งยักษ์ใหญ่โซเชียลมีเดียที่มีส่วนช่วย Mark ทำคลอด Facebook จากในหอพักนักศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) ที่ทั้งคู่ร่วมแบ่งปันห้องพักกันในช่วงต้นปี 2000 ล่าสุด Chris ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการต่อต้าน Facebook โดย Chris เขียนบทความแสดงความเห็นให้กับสื่อใหญ่อย่างนิวยอร์กไทม์ส (The New York Times) ในวันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา
ในบทความ Chris ระบุว่าสหรัฐฯเป็นประเทศที่มีมาตรการควบคุมผู้นำในตลาดโดยไม่คำนึงว่าผู้นำของบริษัทเหล่านี้จะร่ำรวยหรือมีอิทธิพลเพียงไร แต่วันนี้พลังที่ Mark มีนั้นเป็นสิ่งที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อน แถมยังไม่ได้เป็นพลังของคนอเมริกันด้วย ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าถึงเวลาที่จะจัดการยุบหรือแยก Facebook ได้แล้ว Chris เอ่ยชัดถ้อยชัดคำในรายการว่า Facebook เป็นอันตรายต่อสังคมอเมริกันและโลก ท่ามกลางเสียงสนับสนุนไม่น้อยที่พร้อมจะเป็นแนวร่วมกับ Chris และผู้บริหาร Facebook ที่ออกมาแสดงจุดยืนต่อต้านก่อนหน้านี้หลายคน
https://twitter.com/TODAYshow/status/1126451868689891328
***ควรล้มดีล Facebook Instagram WhatsApp
Chris มองว่าคณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐฯหรือ FTC ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ ที่อนุมัติให้ Facebook สามารถซื้ออินสตาแกรม (Instagram) ในปี 2012 และว็อตส์แอป (WhatsApp) ในปี 2014 เนื่องจากวันนี้ชาวอเมริกันประมาณ 70% ใช้สื่อโซเชียล ซึ่งการเข้าซื้อกิจการเหล่านี้ทำให้คนส่วนใหญ่มีส่วนร่วมกับบริการ Facebook แบบกินรวบ
I’m calling for breaking up @Facebook in an essay in the @nytimes. FB has become too big and too powerful, and it’s part of a trend in our economy of an increasing concentration of corporate power. We can fix this: break the company up and regulate it. https://t.co/34rITPfvJ9
— Chris Hughes (@chrishughes) May 9, 2019
Chris กล่าวว่าผู้ร่วมก่อตั้งรายอื่นของบริษัท ไม่เคยนึกภาพว่าอัลกอริธึมฟีดข่าว (News Feed) จะส่งผลกระทบต่อโลกมากเช่นนี้ ทั้งในประเด็นอิทธิพลต่อการเลือกตั้ง และการเพิ่มอำนาจให้กับนักการเมืองหรือผู้นำประเทศ Chris ย้ำในจดหมายว่า Mark เป็นคนจิตใจดี แต่ Chris ไม่เห็นด้วยที่ Mark มุ่งเน้นแต่การผลักดันให้ Facebook เติบโต จนทำให้ Mark มองข้ามความปลอดภัยเพื่อให้ได้คลิกมา
Chris กล่าวเสริมว่าวันนี้ Zuckerberg ควบคุมสัดส่วนคะแนนเสียงโหวต 60% ที่ Facebook ทำให้บอร์ดบริหารของ Facebook มีบทบาทเหมือนกับคณะกรรมการที่ปรึกษา มากกว่าผู้ดูแลทิศทางของบริษัท
ทั้งหมดนี้ Chris ย้ำว่าหน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐฯ สามารถทำได้เพียงปกป้องไม่ให้ Facebook สามารถซื้อบริษัทเกิดใหม่ที่กำลังโตได้ในเวลานี้ ซึ่งจะขวางกลยุทธ์เชิงรุกของ Facebook ได้ในวันที่ Facebook มักคัดลอกนวัตกรรมใหม่ของบางบริษัท (เช่น Snapchat) เพื่อเสริมให้ตัวเองยิ่งใหญ่ขึ้น วิธีการนี้เองที่ทำให้นักลงทุนผวา จนทำให้ไม่มีบริษัทเครือข่ายโซเชียลรายใหญ่ใดได้แจ้งเกิดเลยนับตั้งแต่ปี 2011
***ต้องจัดระเบียบ
Chris เรียกร้องว่ารัฐบาลสหรัฐฯควรดำเนินการเพื่อลดอิทธิพลของ Facebook ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีการสื่อสาร รวมถึงควรเดินมาตรการแบ่งอาณาจักร Facebook ออกเป็นหลายบริษัท
ล่าสุด 1 ในสมาชิกวุฒิสภาอเมริกัน ออกมาทวีตว่ามีแนวคิดในทางเดียวกันกับ Chris แล้ว
Chris Hughes is right. Today’s big tech companies have too much power—over our economy, our society, & our democracy. They’ve bulldozed competition, used our private info for profit, hurt small businesses & stifled innovation. It's time to #BreakUpBigTech. https://t.co/rZMftEwlkN
— Elizabeth Warren (@ewarren) May 9, 2019
ที่สำคัญ อดีตผู้ก่อตั้ง Facebook รายนี้เรียกร้องให้รัฐบาลบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาด ออกคำสั่งยกเลิกการซื้อกิจการ Instagram และ WhatsApp ของ Facebook และห้ามการซื้อกิจการในอนาคตต่อเนื่องหลายปี ทั้งหมดนี้ รัฐบาลสหรัฐฯอาจจะต้องจัดตั้งหน่วยงานใหม่เพื่อควบคุมบริษัทเทคโนโลยีเป็นพิเศษ เพื่อเน้นการปกป้องความเป็นส่วนตัวแบบเฉพาะทาง
อิทธิพลของ Facebook นั้นถูกจับตามองในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพราะ Facebook รวบรวมข้อมูลผู้ใช้ไว้จำนวนมากแต่ล้มเหลวในการปกป้องข้อมูลส่วนตัวเหล่านี้ ที่ผ่านมา Facebook ต้องเผชิญกับค่าปรับหลายพันล้านเหรียญ และยังเป็นจำเลยในคดีใหญ่อื้อฉาวของแคมบริดจ์อะแนลไลติกา (Cambridge Analytica) ที่นำข้อมูลผู้ใช้ Facebook กว่า 87 ล้านคนไปใช้โดยไม่ได้รับความยินยอม
Chris ยังมองว่าสภาคองเกรสสหรัฐฯ ควรจะผ่านร่างกฎหมายว่าด้วยความเป็นส่วนตัว เพื่อให้ชาวอเมริกันสามารถควบคุมข้อมูลดิจิตอลของพวกเขาได้อย่างแม่นยำ และบังคับให้บริษัทไอทีเปิดเผยชัดเจนต่อผู้ใช้ และให้ความยืดหยุ่นแก่หน่วยงานในการกำกับดูแลอย่างมีประสิทธิภาพ
การแสดงจุดยืนครั้งนี้ Chris ระบุว่าเป็นการรับผิดชอบที่ไม่ได้ส่งเสียงเตือนให้ชัดก่อนหน้านี้ โดยบอกว่า “ยุคแห่งความรับผิดชอบต่อ Facebook และการผูกขาดอื่นๆ” อาจกำลังเริ่มขึ้นชัดเจนนับจากนี้
ที่มา ผู้จัดการออนไลน์ , https://nyti.ms/2Wu3MDT