Home มาเต็มกัญชา หมอไม่ฟันธง “น้ำมันกัญชา” รักษา HIV – ย้ำยาต้านไวรัสดีที่สุดแล้ว!

หมอไม่ฟันธง “น้ำมันกัญชา” รักษา HIV – ย้ำยาต้านไวรัสดีที่สุดแล้ว!

587
0
SHARE

จากกรณีสองสามีภรรยาสูงวัย ต.พุทธบาท อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ ป่วยด้วยโรคติดเชื้อ HIV ในระยะสุดท้าย มีอาการป่วยมานานกว่า 10 ปี ได้ใช้น้ำมันกัญชารักษา เพียง 24 วัน จนมีอาการดีขึ้นนั้น

วานนี้ (31พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นพ.ชัยวัฒน์ ทองไหม นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเพชรบูรณ์ ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามดูอาการ สองสามีภรรยาสูงวัยที่ป่วยด้วยโรคติดเชื้อ HIV โดยทราบว่า ทั้งคู่ตรวจพบติดเชื้อ HIV มานานกว่า 10 ปี และได้ขึ้นทะเบียนและรับยาต้านไวรัสจากกระทรวงสาธารณสุขเป็นประจำ ซึ่งภรรยาวัย 63 ปี มีอาการขึ้นๆ ลงๆ

ต่อมา ช่วงมีนาคม ภรรยาอาการทรุดเพราะมีโรคแทรกซ้อน คือวัณโรค ทำให้ร่างกายอ่อนเพลียไม่มีแรง มีจนท.คนหนึ่งแนะนำให้ใช้น้ำมันกัญชา และผู้ป่วยเริ่มมีอาการดีขึ้น จากเดิมที่ต้องนอนให้คนอื่นช่วยเหลือ ก็สามารถช่วยตัวเองทำกิจวัตรประจำวันได้

นพ.ชัยวัฒน์  ระบุว่า ยังไม่ยืนยันว่า น้ำมันกัญชา จะรักษาผู้ป่วยเอดส์ให้หายขาดหรือดีขึ้นได้ แต่ก็ไม่ได้ปิดกั้นในการรักษา แต่เน้นย้ำไม่ให้ผู้ป่วยละทิ้งยาต้านไวรัสและวัณโรคที่แพทย์ให้ไป พร้อมดูแลอย่างใกล้ชิด และหากผู้ป่วยอาการดีขึ้นเราก็จะขอเจาะเลือดมาพิสูจน์ทางการแพทย์ว่าน้ำมันกัญชา สามารถรักษาได้ผลจริงหรือไม่ เพื่อเป็นข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ต่อไป

ขณะที่ นพ.ประพันธ์ ภานุภาค ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลว่าน้ำมันกัญชาสามารถลดเชื้อ HIVได้หรือไม่ ทั้งนี้ เชื่อว่าการได้รับน้ำมันกัญชาน่าจะทำให้ร่างกายกระชุ่มกระฉวยขึ้น แต่ยืนยันว่ายาอะไรก็ไม่ดีเท่ากับยาต้านเชื้อเอชไอวีที่ไทยแจกฟรีในขณะนี้ ขอเตือนผู้ที่ติดเชื้อฯ ว่าอย่าทิ้งการรักษาหลักหรือไม่รับประทานยา เพราะอาจจะเป็นภัยกับทั้งตัวของผู้ป่วยเอง

เช่นเดียวกับ นายอภิวัฒน์ กวางแก้ว ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวีเอดส์ประเทศไทย กล่าวว่า กัญชาไม่ใช่ยาครอบจักรวาล กรณีดังกล่าว เราไม่รู้ว่าที่นอนติดเตียงเพราะป่วยเป็นโรคฉวยโอกาสอื่นๆ หรือไม่ ต้องแยกแยะการใช้น้ำมันกัญชาที่อาการดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวกับ HIV ซึ่งปัจจุบัน การรักษา HIV ที่เป็นมาตรฐานทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยคือการรับยาต้านไวรัสให้เร็วที่สุด ดังนั้นขอผู้ติดเชื้อ อย่าผลีผลาม หากทิ้งการรักษาด้วยยาต้านไวรัสฯ หันไปพึ่งการรักษาทางเลือกที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ อาจจะทำให้เสี่ยงเกิดการดื้อยา รักษายาก