ตม.ไทยเร่งประสาน หลังเมียนมาพร้อมส่งตัวหัวหน้าเครือข่ายใหญ่ยาเสพติดภาคใต้ หลังซุกหัวในท่าขี้เหล็กกว่า 1 ปี ขณะที่ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เตรียมเดินทางไปรับตัวคนร้ายด้วยตัวเอง พร้อมตำรวจภาค 8 เพื่อนำตัวกลับสอบสวน เตรียมขยายผลเครือข่ายที่เหลืออีก 14 คน ที่ยังหลบหนี
ล่าสุด วันที่ 13 มิ.ย. 2562 พ.ต.อ. เอกกร บุษบาบดินทร์ รองผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 5 ซึ่งได้รับมอบหมายงานจาก พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. ได้เข้าพบ พ.ต.ท.ทุนทุนหน่าย ผกก.ตม.จังหวัดท่าขี้เหล็ก และ พ.ต.ต. ยิ่นยิ่นเอ หัวหน้าหน่วยปราบปรามป้องกันค้ามนุษย์ ซึ่งฝ่ายเมียนมา ได้เข้าตรวจความพร้อมห้องกักชั่วคราว บริเวณใกล้สะพานแห่งที่ 1 จุดรับมอบส่งตัว นายเสรี ช่วยชนะ หัวหน้าระดับสั่งการ การขนลำเลียงยาเสพติดจากชายแดนภาคเหนือ ส่งเครือข่ายในภาคใต้ของไทย
ซึ่งจะคุมตัวคนร้ายชาวไทย จากห้องขังโรงพักตำรวจท่าขี้เหล็ก ในช่วงบ่ายวันที่ 14 มิ.ย. โดยการรับมอบ พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พ.ต.อ.เชิดพงษ์ ชิวปรีชา รองผู้บังคับการ พร้อมด้วย พ.ต.อ.ศิรชัย เกิดศรี ผู้กำกับการสืบสวน ภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี จะเดินทางมารับตัวคนร้ายด้วยตนเอง พร้อมแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ที่อาคารสายลม ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงราย (แม่สาย) อีกครั้ง
สำหรับประวัติ นายเสรี ช่วยชนะ หลังหลบหนีหมายจับ คดียาเสพติด ในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ลักลอบข้ามพรมแดนด้าน อ.แม่สาย จ.เชียงราย เข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่กับชนกลุ่มน้อยกลุ่มค้ายาเสพติด ในระยะ 1 ปีกว่าที่ผ่านมา นายเสรี ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าสั่งการเครือข่ายในภาคใต้ ขนลำเลียง ยาบ้าอักษร 999 น้ำเงิน และไอซ์ในถุงชาสีทอง ผ่านเขตติดต่อระหว่างชายแดน จ.เชียงราย และ จ.เชียงใหม่ ผ่านเครือข่ายขนลำเลียงลงในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี และส่งต่อไปประเทศที่ 3 และยังสั่งการยิงหญิงสาว 2 คนได้รับบาดเจ็บ คดีต่างๆที่เกิดขึ้น มีการซักทอดถึงนายเสรี จนมีหมายจับศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีถึง 8 หมาย
และในเดือน พ.ย. 2561 ตำรวจภาค 8 ได้เปิดปฏิบัติการ “พิทักษ์เมืองคนดี ” ทำการยึดทรัพย์สิน และจับเครือข่ายนายเสรี ช่วยชนะ ไปแล้ว 29 ราย รวมทรัพย์สินที่ถูกยึด กว่า 27,000,000 บาท สุดท้ายถูกตำรวจท่าขี้เหล็ก ตั้งด่าน รวบตัวได้ขณะขับขี่จักรยานยนต์ ติดป้ายทะเบียนเมียนมาปลอม บนถนนเลียบชายแดน ในฝั่งเมียนมา ตรงข้ามบ้านเวียงหอม หมู่ที่ 4 ต.แม่สาย อ.แม่สาย จ.เชียงราย การเตรียมนำตัวกลับมาดำเนินคดีครั้งนี้ เพื่อทำการสอบสวนเตรียมขยายผล ติดตามเครือข่ายอีก 14 คน ที่ยังคงอยู่ระหว่างการหลบหนี และทำการอายัดทรัพย์ที่หลงเหลือ เพิ่มเติมต่อไป