“พิชัย” แจง สำนักอัยการ เลื่อนนัดอ่านคำสั่ง เป็นวันที่ 24 กรกฎาคม เวลา 10:00 น ชี้ รัฐบาลควรต้องสนใจสื่อหลักต่างประเทศวิจารณ์ไทย และ ถามสังคมว่าการดูด สส มีจริงไหม
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุด อัยการสำนักงานคดีอาญา 6 นัดฟังคำสั่งในคดีที่พนักงานสอบสวน กก.3 กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ได้นำสำนวนการสอบสวนพร้อมพยานหลักฐานและความเห็นควรสั่งฟ้องนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) และอดีตรมว.พลังงาน ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ผู้ต้องหาคดีผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการ กระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550
กรณีเมื่อวันที่ 25 มิ.ย.61 นายพิชัย โพสต์ภาพลงเฟซบุ๊ก ในการร่วมวงเสวนาของคณะกรรมการวีรชน พฤษภา 35 ในประเด็นเศรษฐกิจ การปราบทุจริตคอรัปชั่นในยุค คสช.และพลังดูด 4.0 กับโพสต์ภาพ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. บนนิตยสาร TIME (ไทม์) กับลงข้อความห้ามจำหน่ายในประเทศไทย
โดยนาย นรินท์พงศ์ ซึ่งรับมอบอำนาจเดินทางมาฟังคำสั่งคดีนี้เช่นกัน กล่าวว่าวันนี้ทางพนักงานอัยการก็ได้เลื่อนฟังคำสั่งอีกครั้งในวันที่24 ก.ค.เวลา 10.00 น.เช่นกันเนื่องจากสำนวนอยู่ระหว่างการพิจารณาสอบพยานอีก2ปาก
ทั้งนี้นายพิชัย กล่าวว่า รัฐบาล และ คสช. ควรจะให้ความสนใจว่าสื่อหลักของต่างประเทศ ทั้ง ดิ อิโคโนมิสต์ นิกเคอิ รีวิว วอชิงตัน โพสต์ และ ล่าสุด ไฟแนนเชียลไทมส์ ได้วิพากษ๋วิจารณ์สภาวะการเมืองและสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันของประเทศไทยไว้อย่างไร และหาทางแก้ไขภาพลักษณ์ของประเทศที่เสียหายอย่างหนัก มากกว่าจะมาหาเรื่องตนในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เพราะจะยิ่งถูกมองว่าเป็นการปิดกั้นการแสดงความคิดเห็น ซึ่งจะยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเสียหายมากขึ้น เพราะสื่อหลักของต่างประเทศได้สอบถามความคืบหน้าในคดีของตนมาโดยตลอด และอยากจะให้รัฐบาลและ คสช. ได้สอบถามสังคมว่า ประชาชนเชื่อว่ามีการดูด สส ตามที่ตนได้แสดงความเห็นในการสัมมนาที่จัดขึ้นโดยคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 จริงหรือไม่ โดยทั้งสองเรื่องนี้ ตนเองก็ไม่ได้ระบุว่าใครเป็นคนทำ เหตุใจรัฐบาลและ คสช. จึงร้อนตัวมาฟ้องตน ทั้งนี้ ประเทศไทยได้เข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยโดยมีการเลือกตั้งแล้ว จึงอยากขอเรียกร้องว่า คดีความต่างๆที่เกี่ยวกับเรื่องการใช้อำนาจในช่วงเผด็จการทุกคดี ไม่ใช่เฉพาะคดีของตน ควรที่จะต้องถูกยกเลิกไปได้แล้ว เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดี และ ฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศให้กลับมาลงทุนในประเทศไทย อย่าทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเสียหายเพิ่มขึ้นไปอีกเลย
matemnews.com
28 มิถุนายน 2562