เมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2562 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เผยแพร่ผลคำพิพากษาคดีในศาลคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 4 คดีที่อัยการสูงสุด (อสส.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายอภิรักษ์ ศักดิ์สนิท เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายอำเภอแม่จัน จ.เชียงราย และนางนนท์พรรณ หรือวลัยลักษณ์ ยาท้วม เป็นจำเลยที่ 1-2 กรณีถูกกล่าวหาว่า รับรองการเกิดในประเทศไทยเป็นเท็จ และอนุมัติให้ลงรายการสัญชาติไทยโดยมิชอบ
โดยศาลคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 4 พิจารณาพฤติการณ์ สรุปได้ว่า นายอภิรักษ์ กับพวก ใช้หลักฐานอันเป็นเท็จ เพื่อให้ผู้ยื่นคำร้องขอซึ่งเป็นบุคคลต่างด้าว เป็นผู้มีรายชื่อเป็นบุคคลสัญชาติไทย ในทะเบียนราษฎรตาม พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 มาตรา 23 โดยมิชอบ รวม 8 ครั้ง โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกหนังสือรับรองสถานที่เกิดให้แก่บุคคลต่างด้าว และนำไปใช้เป็นหลักฐานแก้ไขรายการในทะเบียนประวัติ ซึ่งเป็นเอกสารที่ขอลงรายการสัญชาติไทยในทะเบียนบ้าน โดยแก้ไขสถานที่เกิดจากเกิดนอกประเทศมาเป็นประเทศไทย ซึ่งการแก้ไขรายการทะเบียนประวัติดังกล่าว ตามหนังสือทะเบียนกลางจะต้องมีพยานหลักฐานที่เป็นเอกสารที่ทางราชการออกมาให้มาใช้อ้างอิงมิใช่สอบพยานบุคคลแล้วนำมาแก้ไข
ศาลพิพากษาว่า นายอภิรักษ์ จำเลยที่ 1 ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และผิดตาม พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 มาตรา 50 ประกอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามมาตรา 91 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักสุดตามมาตรา 90 จำคุก 3 ปี รวม 8 กระทง รวมจำคุก 24 ปี
นายอภิรักษ์ ให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุกนายอภิรักษ์ มีกำหนด 12 ปี
ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2562 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติเห็นชอบตามที่ความเห็นของอัยการสูงสุด (อสส.) ไม่อุทธรณ์คำพิพากษาคดีดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ ศาลจังหวัดเชียงราย เคยพิพากษาจำคุกนายอภิรักษ์ ศักดิ์สนิท เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายอำเภอแม่จัน จ.เชียงราย กับพวกรวม 3 ราย กรณีถูกกล่าวหาว่ารับรองการเกิดในประเทศไทยอันเป็นเท็จ อนุมัติให้ลงรายการสัญชาติไทยโดยมิชอบ รวม 3 ปี อย่างไรก็ดีนายอภิรักษ์รับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุก 1 ปี โดยเมื่อกลางปี 2562 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
สำหรับนายอภิรักษ์ ยังถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดคดีร่ำรวยผิดปกติด้วย โดยถูกกล่าวหาว่ามีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมาผิดปกติ เบื้องต้นส่งข้อเท็จจริงและสำนวนการไต่สวนไปยังอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อดำเนินการร้องขอต่อศาลให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดินแล้ว
ที่มา สำนักข่าวอิศรา