Home ข่าวทั่วไปรอบวัน ปธ.ศาลอุทธรณ์สั่งรับคดีไว้ตรวจฟ้อง 7กกต.ปฏิบัติหน้าที่มิชอบรับรองคุณสมบัติ”บิ๊กตู่”เป็นนายกฯ อยู่ในอำนาจศาลอาญาทุจริตฯ

ปธ.ศาลอุทธรณ์สั่งรับคดีไว้ตรวจฟ้อง 7กกต.ปฏิบัติหน้าที่มิชอบรับรองคุณสมบัติ”บิ๊กตู่”เป็นนายกฯ อยู่ในอำนาจศาลอาญาทุจริตฯ

331
0
SHARE

 

 

องค์คณะผู้พิพากษา  ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลาง ออกนั่งบัลลังค์ 30 ต.ค.2562 อ่านคำวินิจฉัยของ  ประธานศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำที่ อท.54/ 2562 ที่ นายสุรทิน พิจารณ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยใหม่ กับพวกรวม 2 คนยื่นฟ้อง นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กับพวกซึ่งเป็น กกต.รวม 7 คน ขอให้ลงโทษจำเลยทั้ง 7 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 , 43 พ.ร.ป.กกต.พ.ศ.2560 มาตรา 29 ประกอบมาตรา 25 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.พ.ศ.2561มาตรา 23 ประกอบมาตรา 149 และมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยทั้ง 7 มีกำหนด 20 ปี

 

คดีนี้   ศาลชั้นต้นเห็นว่า  กรณีมีปัญหาว่า  คดีนี้เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบหรือไม่ จึงมีคำสั่งให้ส่งสำนวนมายังศาลอุทธรณ์เพื่อให้ประธานศาลอุทธรณ์วินิจฉัยตามพ.ร.บ.จัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 มาตรา 11

 

ประธานศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า กกต.เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 หมวด 12 ส่วนที่ 2 มีอำนาจหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 224 เมื่อจำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งประธาน กกต.จำเลยที่ 2 – 7 ดำรงตำแหน่ง กกต.จำเลยทั้ง หมดจึงเป็นผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้ง 7 จงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 23 ประกอบมาตรา 149 และ พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต.พ.ศ.2560 มาตรา 21 ประกอบ 22 และมาตรา 38 ไม่ตรวจคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นบุคคลที่พรรคพลังประชารัฐแจ้งว่า จะเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีและร่วมกันออกประกาศ กกต.เรื่องการแจ้งรายชื่อบุคคลที่พรรคการเมืองจะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีฉบับลงวันที่ 11 ก.พ.62 ให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นบุคคลที่พรรคพลังประชารัฐแจ้งว่าจะเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีลำดับที่ 30 เพื่อให้เป็นคุณแก่พรรคพลังประชารัฐในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 17มี.ค.62 (เลือกตั้งล่วงหน้า) และในวันที่ 24 มี.ค.62 (เลือกตั้งทั่วไป)

 

ทั้งเมื่อ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ  ยื่นหนังสือเพื่อขอให้ตรวจสอบการคัดเลือก พลอ.ประยุทธ์ จำเลยทั้ง 7 ก็มิได้วินิจฉัยชี้ขาดข้อโต้แย้งดังกล่าว

 

ต่อมาเมื่อ นายวิญญัติ ชาติมนตรี ยื่นหนังสือคัดค้านการประกาศรายชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ และขอให้เพิกถอนชื่อบุคคลดังกล่าวจำเลยทั้ง 7 ยังคงให้มีการประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้งเรื่องการแจ้งรายชื่อบุคคลที่พรรคการเมืองจะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ต่อไป เมื่อนายเรืองไกร ยื่นหนังสือขอให้ กกต.วินิจฉัยว่า พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้า คสช.เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือไม่เป็นครั้งที่ 2 พวกจำเลยก็ยังคงปล่อยให้มีการประกาศเรื่องการแจ้งรายชื่อบุคคลที่พรรคการเมืองจะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปอีก

 

ทั้งนี้ จำเลยทั้งหมดรับทราบข้อโต้แย้งแล้ว  แต่ไม่ดำเนินการตามหน้าที่ ด้วยการสั่งระงับยับยั้งหรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้ การเลือกตั้งการเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรมและชอบด้วยกฎหมาย การให้ พล.อ.ประยุทธ์ สามารถรณณรงค์หาเสียงหรือขึ้นเวทีปราศรัยในฐานะที่เป็นผู้ถูกแสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐได้ ซึ่งความจริงพล.อ.ประยุทธ์ในฐานะหัวหน้า คสช.เป็น “เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ” ไม่มีคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามการเป็นนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 160 และ พ.ร.ป.ด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.พ.ศ.2561 มาตรา 13 เเละ 44 การกระทำของจำเลยทั้ง 7 เป็นการกระทำโดยไม่สุจริตขอให้ลงโทษตาม พ.ร.ป.กกต.มาตรา 5 ประกอบมาตรา 25 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 23 ประกอบมาตรา 144

 

 

จึงเป็นกรณีที่มูลความแห่งคดีเป็นการกล่าวหาผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระทุจริตต่อหน้าที่หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย  ซึ่งหากจะฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามบทบัญญัติ พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 2560 มาตรา 23 กำหนดผู้มีอำนาจฟ้องคดี ได้แก่ อัยการสูงสุด  และคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตเเห่งชาติ (ป.ป.ช.)

 

ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตกำหนดซึ่งใช้บังคับในกรณีที่อัยการสูงสุดและ ปปช.เป็นผู้ฟ้องคดี  แต่คดีนี้ผู้ฟ้องคดี คือ โจทก์ทั้งสอง มิใช่อัยการสูงสุดหรือ ป.ป.ช.ย่อมไม่อยู่ภายใต้บังคับของบทกฎหมายดังกล่าว

 

เมื่อคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้ง 7 โดยจำเลยที่ 1เป็นประธาน กกต.จำเลยที่ 2 – 7 เป็น กกต.ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วย พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.2561 มาตรา 23 ประกอบมาตรา 149 และ พ.ร.ป.กกต.2560 มาตรา38กำหนดว่าในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยทั้ง 7 ให้ถือว่าเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา

 

ดังนั้น คดีนี้จึงเป็นคดีทุจริตและประพฤติมิชอบอยู่ในเขตอำนาจของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2555 มาตรา 3 วรรคหนึ่ง (1)

 

ประธานศาลอุทธรณ์จึง วินิจฉัยว่า

 

คดีนี้อยู่ในเขตอำนาจของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ จึงมีคำสั่งให้รับคดีไว้ตรวจฟ้องนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษา(ในชั้นตรวจฟ้อง) ในวันที่ 3 ธ.ค.2562

 

ด้าน นายวิญญัติ ชาติมนตรี เลขาธิการสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิเสรีภาพ ( สกสส.) กล่าวว่า ตนในฐานะที่เคยยื่นหนังสือคัดค้านการประกาศรายชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ และขอให้เพิกถอนชื่อบุคคลดังกล่าวต่อ กกต.เเละได้ทราบคำวินิจฉัยของประธานศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยให้คดีฟ้อง ว่า กกต.เป็นคดีอยู่ในอำนาจของศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ ประชาชนสามารถฟ้องเองได้ อาจถือว่าเป็นประเด็นข้อกฎหมายที่รับรองถึงการใช้สิทธิฟ้ององค์กรอิสระต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบได้โดยตรง แม้โจทก์ที่ยื่นฟ้องคดี ปัจจุบันได้เป็น ส.ส.ได้ถอนฟ้องคณะกรรมการการเลือกตั้งทั้ง 7 คนแล้วก็ตาม แต่คำวินิจฉัยนี้จะเป็นบรรทัดฐานว่าด้วยผู้มีอำนาจฟ้องคดีที่สำคัญต่อไป

 

matemnews.com 

30 ตุลาคม 2562