ประเด็นหนึ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นำพมาพูดแถลงข่าวหลังการประชุมครม.ที่ทำเนียบรัฐบาล บ่ายวันที่ 2 ม.ค.2563 คือ เรื่องเปลี่ยนชื่อ 7 วันอันตราย
“อยากให้ยกเป็นกรณีศึกษายอดผู้บาดเจ็บและศูนย์เสียจากการจราจรช่วงปีใหม่ จะต้องพิจารณาว่าเป็นการเสียชีวิตลักษณะใด รวมถึงช่วงเวลาเพื่อนำไปแก้ไขต่อไป ในส่วนของหน่วยงานราชการทำเต็มที่แล้วก็เป็นเรื่องของประชาชนที่ต้องระมัดระวังตัวเองด้วย แม้ว่าจากการรายงานยอดการศูนย์เสียจะน้อยลงแต่ผมก็ไม่สบายใจเพราะยังมีผู้เสียชีวิตกว่าร้อยคน หวังว่าในห้องต่อไปเช่นเทศกาลสงกรานต์จะทำอย่างไรที่จะลดผู้เสียชีวิตลงได้ สำหรับชื่อ 7 วันอันตราย ฟังแล้วไม่สร้างสรรค์ อยากให้เปลี่ยนเป็น 7 วันเทศกาลแห่งความสุขได้หรือไม่ เพื่อให้นึกถึงความสุขและความปลอดภัย เพราะมีผลกระทบทั้งตนเองลูกหลานและค่ารักษาพยาบาล จึงมีความจำเป็นต้องสร้างแรงจูงใจประเภทนี้ ผมได้ให้แนวคิดเรื่องการทำถนนหนทางหรือการขยายช่องทางจราจรให้มากขึ้นหากมีความเป็นไปได้สามารถสร้างให้เส้นทางใดเสร็จก่อนก็ให้ดำเนินการทันที รวมถึงการปลูกสร้างขอให้อยู่ห่างไกลจากถนนหลักป้องกันปัญหาในอนาคตหากมีการขยายถนนออกไป ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ได้มีการสรุปผลการดำเนินการจัดงานปีใหม่ในแต่ละพื้นที่ และขอบคุณเจ้าหน้าที่และจิตอาสาที่เข้ามาช่วยกันจำนวนมาก ทำให้การจัดงานปีใหม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อยทั้งพื้นที่กทม.และต่างจังหวัด รวมถึงการช่วยกันดูแลปัญหาจราจร ทั้งนี้ปัญหาอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากถนนสายรองและผู้ที่ศูนย์เสียคือวัยหนุ่มสาว เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงเพราะสถิติการเพิ่มของประชากรน้อยลงการศูนย์เสียคนหนุ่มสาวเท่ากับศูนย์เสียแรงงาน ขอย้ำทุกภาคส่วนต้องช่วยกันรัฐบาลทำฝ่ายเดียวไม่ได้ อย่างในพื้นที่กทม.มีผู้ร้องเรียนผู้ใช้รถจักรยานยนต์จำนวนมากกว่า มีการขับรถปาดซ้ายปาดขวาหรือแซงขึ้นมาอยู่ต้นทางไฟแดงทำให้เกิดการกระทบกระทั่งและความไม่เอื้ออาทรต่อกัน เมื่อรถติดไฟแดงรถอยู่ตรงไหนก็ขอให้อยู่ตรงนั้นไม่ต้องพยายามขึ้นมาข้างหน้า
หลังจากพล.อ.ประยุทธ์ แถลงข่าวไม่นาน ร.ท.หญิง สุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความในเฟชบุ๊ก “หมวดเจี๊ยบ Sunisa Divakorndamrong ” ว่า
“แม้จะขึ้นปีใหม่แล้ว แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับยังพูดและคิดแบบไม่เข้าท่าเหมือนเดิม โดยเฉพาะการเสนอไอเดีย เปลี่ยนชื่อเรียก 7 วันอันตราย เพื่อลดอุบัติเหตุ ทั้ง ๆ ที่ นั่นไม่ใช่การแก้ปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนนที่ถูกจุด แต่ต้องแก้ด้วยการปลูกฝังจิตสำนึกการเคารพกฎจราจรของประชาชน และรณรงค์ให้ลดการบริโภคสิ่งมึนเมาต่าง ๆ โดยต้องปลูกฝังตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
นอกจากนี้ รัฐบาลก็ต้องออกแบบและบำรุงรักษาถนนหนทางให้ปลอดภัยสำหรับการขับขี่ เป็นต้น แต่เชื่อว่า รัฐบาลประยุทธ์ คงทำไม่สำเร็จหรอก ตราบใดที่ผู้ผลิตสุราหรือเจ้าของอบายมุขรายใหญ่ ๆ ของประเทศยังเป็นผู้สนับสนุนหลักของรัฐบาลอยู่อย่างนี้ เพราะถ้ายอดขายตก นายทุนเหล่านี้จะเอาเงินที่ไหนมาให้รัฐบาล ส่วนที่ พล.อ. ประยุทธ์ ตำหนิและพูดเหยียดคนขี่รถมอเตอร์ไซค์ที่ชอบไปจอดรอไฟแดงบังหน้ารถเก๋งนั้น แสดงว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เห็นใจหัวอกคนทำมาหากินที่เขาต้องรีบเดินทางให้ถึงจุดหมายปลายทางเช่นกัน แต่ประชาชนตาดำ ๆ เขาไม่ได้มีรถนำขบวนเหมือน พล.อ.ประยุทธ์ เขาจึงต้องทำอย่างนั้น หาก พล.อ.ประยุทธ์ อยากบอกให้เขาเคารพกฎจราจร พล.อ. ประยุทธ์ ก็ต้องสื่อสารอีกแบบหนึ่ง โดยควรเลือกใช้คำพูดอื่น เพราะพูดแบบนี้ ฟังแล้ว อาจเข้าใจว่าคนจนไม่มีสิทธิจะรีบไปไหนบ้างหรือยังไง คนเป็นนายกฯ ควรต้องระมัดระวังการใช้คำพูดให้มากกว่านี้ เพราะการใช้ภาษาถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และสามารถนำไปสู่ความแตกแยกในสังคมได้ พล.อ.ประยุทธ์ จะพูดอะไรก็ควรระวังปากมากกว่าคนอื่น ๆ เพราะท่านกำลังสวมหัวโขนนายกฯ ที่สำคัญ การที่ท่านพูดแบบนี้ มันสะท้อน ความกลวงและความไม่ระวังปากข้ามปีข้ามชาติของนายกฯ แต่หากมันยากเกินไปสำหรับพล.อ.ประยุทธ์ ที่จะพัฒนาตัวเอง ท่านก็ควรถอดหัวโขน แล้วลาออกไป คนอื่นจะได้ถือโอกาสเข้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ตกต่ำเพราะความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลประยุทธ์ไปในคราวเดียวกันซะเลย”
matemnews.com
2 มกราคม 2563