พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าให้ข้อมูลต่อ ป.ป.ช.ว่า วันนี้เป็นวันที่รอคอยมานาน ซึ่งตนมาในฐานะพยาน และครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ตนจะให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน เพราะหลังจากเข้าให้ข้อมูลจะเป็นหน้าที่ของป.ป.ช.ในการไต่สวนข้อเท็จจริง และมั่นใจว่า ที่ผ่านมาป.ป.ช.ได้ใช้เวลาไปพอสมควรในการตรวจสอบข้อเท็จจริง คงรวบรวมพยานหลักฐานได้ชัดเจนพอสมควรแล้ว นอกจากตนแล้วยังจะมีการเข้าให้ข้อมูลเพิ่มเติมของคณะกรรมการตรวจรับ ซึ่งเป็นถึงรองผู้บัญชาการ และผู้ใช้งานเครื่องไบโอแมทริกซ์ในจังหวัดต่างๆ อีกประมาณ 40 ราย ที่พร้อมเข้าให้ข้อมูลในฐานะพยานด้วย
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า ตนเป็นคนที่เซ็นยกเลิกสัญญา และเป็นผบช.สตม.เพียงคนเดียวที่กล้ายกเลิกสัญญา เพราะเห็นถึงความผิดปกติหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นการส่งมอบงานล่าช้าในหลายงวดงาน และอีก2งวดส่งงานไม่ได้ การใช้งานไม่ได้เต็มตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ในทีโออาร์ เช่น ทีโออาร์กำหนดคุณสมบัติไว้ 30 ข้อ แต่ระบบใช้งานจริงได้ 5-6 ข้อ จึงไม่คุ้มค่ากับงบประมาณ อีกทั้งโครงการดังกล่าวยังปรับเพิ่มงบประมาณจากเดิมที่ตั้งไว้ 1,000 ล้านบาท กลายเป็น 2,000 ล้านบาท ซึ่งไม่ได้ใส่ระบบเทคโนโลยีเพิ่ม แต่เพิ่มขึ้นตามจำนวนเครื่อง ตอนแรกสถานีตำรวจภูธรไม่อยู่ในแผนที่จะได้รับเครื่องไบโอแมทริกซ์ แต่ด้วยงบประมาณที่เพิ่มมากเป็น 2,000 ล้านบาท ทำให้ได้สถานีตำรวจภูธรได้รับการแจกจ่ายด้วย รวมถึงตำรวจท่องเที่ยวที่ได้รับการแจกจ่ายด้วย ซึ่งปัจจุบันเครื่องเหล่านี้ปัจจุบันไม่ได้ถูกใช้งาน นอกจากนี้ ยังขอเรียกร้องให้ตรวจสอบการตรวจรับไบโอแมทริกซ์ชุดนี้ด้วยว่า เกิดขึ้นในขณะที่งานยังไม่เสร็จเพื่อเอื้อไม่ให้บริษัทเอกชนโดนปรับหรือไม่
“วันนี้ไม่ควรจะมาแถลงข่าวว่าจับคนร้ายได้กี่คน เพราะยิ่งแถลงจะยิ่งมั่ว ยิ่งพูดยิ่งเข้าตัว อยากให้เอาทีโออาร์มากางแล้วดูว่าไบโอแมรทริกซ์ทำงานได้กี่ข้อ วันนี้ผมมาให้ข้อมูลมีเอกสารมาไม่มาก เพราะทุกอย่างอัดแน่นอนู่ในหัว ผมไม่มีเรื่องขัดแย้งกับใคร ถ้าไม่อึดอัด จวนตัวจริงๆ ใครจะกล้ามาสู้กับผู้มีอำนาจ ส่งนเรื่องคดียิงรถยนต์ของผม เมื่อมีเสียงคลิปออกมาขนาดนั้นฟังแล้วก็อ่อนใจ วันนี้คนในคลิปต้องตอบสังคม เพราะผู้นำองค์กรมีแต่เรื่องส่วนตัวแล้วองค์กรจะอยู่อย่างไร บ้านเมืองสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ทำอะไรอย่าคิดว่าคนอื่นไม่รู้ มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่ไม่รู้ว่าคนอื่นเขารู้กันหมดแล้ว การเป็นผู้รักษากฎหมายต้องทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ ให้คนเชื่อถือศรัทธา
ผมอาจไม่ใช่คนดีเด่อะไร แต่ต้องมีสักเรื่องที่ตอบคำถามสังคมได้อย่างสง่างาม ส่วนเรื่องที่อ้างว่าผมทำเรื่องนี้เพื่อเป็นเกมให้ได้กลับไปรับราชการตำรวจนั้น ไม่จริง ผมถูกย้ายมาเป็นปี ไม่เคยร้องขอความเป็นธรรม แต่อดทนมาเป็นปีๆ การที่ผมจะได้กลับไปหรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้บังคับบัญชา ส่วนตัวรู้สึกเฉยๆเพราะเป็นคนมีวินัย”พล.ต.ท.สุรเชษฐ์กล่าว
พล.ต.ท. สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า ปัญหาความขัดแย้งกับคนในคลิปเสียงมาจากเรื่องไบโอแมทริกซ์ ผ่านมามีความพยายามนัดเจรจาทั้งกับตนและนายษิทราเพื่อให้จบ แต่ตนไม่เคยไปพบ เพราะไม่สามารถยุติเรื่องนี้ ตนกล้าเซ็นยกเลิกสัญญาทั้งที่เสี่ยงถูกฟ้อง แต่มั่นใจเพราะพบความผิดปกติจริง หลังจางนั้นกลับมีความพยายามตรวจรับงานให้ได้ และตั้งกรรมการสอบสวนตนเพื่อเอาผิดทางวินัยให้ได้ ส่วนโครงการรถไฟฟ้าอัจฉริยะ เกิดขึ้นก่อนที่ตนจะเข้ามานั่งเป็นผู้บัญชาการ และเมื่อตนเองตรวจสอบแล้วก็พบว่ารถไฟฟ้าเป็นรถยี่ห้อ BMW มูลค่ากว่า900ล้าน ซึ่งต้องใช้wifi และใช้พลังงานไฟฟ้า แต่กลับให้เอาไปใช้ตามด่านตม.ชายแดน ซึ่งไม่ตอบโจทย์การใช้งาน ไม่มีสถานีชาร์ทไฟฟ้า และสัญญาณไวไฟมีน้อย สุดท้ายก็เอามาเป็นรถนำขบวน ทำให้ผิดวัตถุประสงค์ของการใช้งานในการจัดซื้อจัดจ้าง
“ผมมั่นใจในพยานหลักฐานที่นำมามอบให้ป.ป.ช.ว่าจะสามารถนำไปสู่ความจริง ส่วนจะเอาผิดใครได้หรือไม่เป็นอำนาจของป.ป.ช.”พล.ต.ท.สุรเชษฐ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เตรียมเป็นคนกลางเคลียร์ใจ. พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อจากพล.อ.ประวิตร ส่วนตัวยังเคารพและยังเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของท่าน แต่เชื่อว่าพล.อ.ประวิตรจะไม่มาสั่งการในเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องส่วนตัว แต่หากได้รับการติดต่อจากพล.อ.ประวิตร ตนก็พร้อมคุยทุกเรื่อง จะคุยกี่รอบก็พร้อม แต่ยืนยันว่าจะไม่ยอมทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวถามถึงประเด็นที่นำมาตีความว่าเป็นศึกแย่งเก้าอี้ผบ.ตร. พล.ต.ท.สุรเชษฐ์กล่าวว่า ตนเป็นพลตำรวจโทแย่งชิงตำแหน่งผบ.ตร.ไม่ได้ ก่อนหน้านี้ไม่มีคบิปเสียงเรื่องอาจจะยังคลุมเครือ แต่วันนี้ชัดเจนแล้ว ที่สำคัญเรื่องได้บานปลายไปถึงองค์กร คุณธรรม จริยธรรมเป็นเรื่องสำคัญ อย่าคิดว่าถ้าความผิดยังไม่ปรากฎก็อยู่ไปได้ เพราะถ้าตนเป็นผู้นำองค์กรจะแสดงความรับผิดชอบ
สำหรับโครงการไบโอแมทริกซ์และรถตรวจการไฟฟ้า นายษิทรายื่นหนังสือถึงป.ป.ช.ให้ตรวจสอบนายพลตำรวจ 4 นาย ได้แก่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ติณภัทร ภุมรินทร์ ผู้บัญชาการสำนักงานส่งกำลังบำรุง พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และ 4 พล.ต.ต.สุรพงษ์ ชัยจันทร์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ซึ่งบุคคลทั้ง 4 เกี่ยวข้องในขั้นตอนการอนุมัติจัดซื้อและตรวจรับโครงการ