บรรยินทำอะไร – ละเอียดยิบในคำร้องฝากขังของตำรวจกองปราบ
เมื่อเวลา 13.15 น.วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนนครไชยศรี พนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม ได้นำตัว
พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อายุ 56 ปี อดีต รมช.พาณิชย์ และอดีต ส.ส.พรรคพลังประชาชน ,
นายมานัส ทับนิล อายุ 67 ปี ,
นายณรงค์ศักดิ์ ป้อมจันทร์ อายุ 48 ปี ,
นายชาติชาย เมณฑ์กูล 31 ปี ,
นายประชาวิทย์ หรือตูน ศรีทองสุข อายุ 33 ปี และ
ด.ต.ธงชัย หรือ ส.จ.อ๊อด วจีสัจจะ อายุ 63 ปี
ผู้ต้องหา 1 – 6 คดีอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษา มายื่นคำร้องฝากขังครั้งแรกเป็นเวลา 12 วัน นับตั้งเเต่วันที่ 25 ก.พ. – 7 มี.ค.แต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น ต้องสอบสวนพยาน 10 ปาก , รอผลการตรวจสอบวัตถุพยานทางวิทยาศาสตร์ที่ได้จากการตรวจค้นบ้านพักของผู้ต้องหาและจากที่เกิดเหตุ , รอผลการตรวจสถานที่เกิดเหตุ , รอผลการตรวจสอบประวัติผู้ต้องหาจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร และอื่นๆ
พนักงานสอบสวนระบุพฤติการณ์สรุปว่า สืบเนื่องจากพนักงานอัยการคดีอาญากรุงเทพใต้ และทายาทของ นายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง หรือเสี่ยจืด นักธุรกิจหมื่นล้านผู้ตาย เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ กับพวก เป็นจำเลย ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ในความผิดเกี่ยวกับการปลอมเอกสาร ใบโอนหุ้น และมีการโอนหุ้นของ นายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง ไปให้พรรคพวกของ พ.ต.ท.บรรยิน ที่ร่วมกระทำความผิดโดยทุจริต ซึ่งเป็นคดีที่มีความเกี่ยวพันกับการฆาตกรรมอำพราง นายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง ซึ่ง พ.ต.ท.บรรยิน ถูกฟ้องเป็นจำเลย ต่อศาลอาญาพระโขนงอีกคดีหนึ่ง และศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้สั่งรวมสำนวนเป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.305/2561 โดยมอบหมายผู้พิพากษาอาวุโส เป็นเจ้าของสำนวน ซึ่งได้มีการสืบพยานเสร็จสิ้นแล้ว และศาลนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 20 มี.ค.นี้
ต่อมา ผู้ต้องหาที่ 1 – 6 ได้สมคบกันเพื่อทำการลักพาตัว นายวีรชัย (สงวนนามสกุล) พี่ชายของผู้พิพากษาอาวุโส เพื่อนำไปข่มขู่ให้ผู้พิพากษาอาวุโส มีคำพิพากษายกฟ้อง พ.ต.ท.บรรยิน กับพวก พร้อมกับให้คืนเงินกับหุ้นในคดีทั้งหมดแก่ พ.ต.ท.บรรยิน จำเลยซึ่งมีการวางแผนและแบ่งหน้าที่กันทำ
โดยเมื่อวันที่ 7 ม.ค.63 ผู้ต้องหาที่ 1 ได้มอบโทรศัพท์มือถือให้กับผู้ต้องหาที่ 2 และ 3 คนละ 1 เครื่อง จากนั้นได้เดินทางจาก จ.นครสวรรค์ มากรุงเทพมหานคร ด้วยรถยนต์ยี่ห้อฟอร์ด รุ่นเอเวอร์เรสต์ สีดำ ทะเบียน กร 39 นครสวรรค์ มาถึงบ้านเลขที่ 9/13 ซอยคลังมนตรี แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร
จากนั้น ผู้ต้องหาที่ 2และ 3 ได้ช่วยกันนำรถ จยย.ขึ้นท้ายรถยนต์กระบะ ทะเบียน บย-8386 นครสวรรค์ โดยมีผู้ต้องหาที่ 2 เป็นคนขับ และมีผู้ต้องหาที่ 1 และ 3 นั่งไปด้วย มาจอดในวัดสุทธิวราราม จากนั้นผู้ต้องหาที่ 2 กับพวก ได้นำรถ จยย.คันดังกล่าว มาติดแผ่นป้ายทะเบียน ลจข 579 กรุงเทพฯ และผู้ต้องหาที่ 3 ได้ขี่รถ จยย.ซึ่งมีผู้ต้องหาที่ 2 นั่งซ้อนท้าย ไปเฝ้าดูผู้พิพากษาอาวุโส และนายวีรชัย แต่ไม่พบ จึงได้จอดรถ จยย.ไว้ที่บริเวณข้างธนาคารกรุงไทยฯ ใกล้ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถนนเจริญกรุง ซอย 63 แล้วนั่งรถแท็กซี่กลับบ้านมาที่ซอยคลังมนตรี ส่วนผู้ต้องหาที่ 1 ขับรถยนต์กระบะกลับบ้านไป
ต่อมาช่วงระหว่างวันที่ 8 , 12 , 13 , 14 , 15 , 16 , 17 และ 20 ม.ค.63 ผู้ต้องหาที่ 1 – 3 ยังคอยติดตาม สะกดรอยเฝ้าดูพฤติการณ์ของผู้พิพากษาอาวุโส และนายวีรชัย ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ไปจนถึงบ้านพักย่านถนนวรจักร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ โดยใช้รถ จยย.ติดแผ่นป้ายทะเบียน ลจข-597 กรุงเทพฯ และใช้รถยนต์ ยี่ห้อ มินิคูเปอร์ ทะเบียน 2 กฐ-524 กรุงเทพฯ เฝ้าติดตาม จนทราบถึงพฤติกรรมและกิจวัตรประจำวันของผู้พิพากษาอาวุโส และนายวีรชัย โดยในแต่ละวัน
โดยนายวีรชัยจะนั่งรถแท็กซี่จากบ้านพักมารับ-ส่ง ผู้พิพากษาอาวุโส ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ เป็นประจำ ซึ่ง พ.ต.ท.บรรยิน , นายณรงค์ศักดิ์ และนายมานัส ได้จัดเตรียมยานพาหนะที่ใช้ในการก่อเหตุไว้ เป็นรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นสปอร์ตไรเดอร์ ทะเบียน ชฉ-683 กรุงเทพฯ ซึ่งมี พ.ต.ท.ประเสริฐ ผลประสาร เป็นเจ้าของและผู้ครอบครอง โดยนำมาถอดแล็คหลังคา บันไดด้านหลัง และกระจกที่กันแมลงหน้ารถออก แล้วนำแผ่นป้ายทะเบียน 3 กว-7719 กรุงเทพฯ มาสวมไว้แทน เพื่ออำพราง และก่อนถึงวันที่จะก่อเหตุ พ.ต.ท.บรรยิน ได้สั่งให้นายณรงค์ศักดิ์ ซื้อน้ำมันเบนซิน 95 พร้อมให้จัดเตรียมแผ่นสังกะสี และยางรถยนต์ 4 เส้น เตรียมไว้ โดย พ.ต.ท.บรรยิน และนายณรงค์ศักดิ์ ร่วมกันขนสิ่งของดังกล่าวเข้าไปยังจุดที่บริเวณเขาใบไม้ ต.ตาคลี อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ โดยใช้รถยนต์กระบะ ซึ่งมีนายณรงค์ศักดิ์ เป็นผู้ขับขี่
ต่อมาในวันที่ 4 ก.พ.2563 ก่อนเกิดเหตุ พ.ต.ท.บรรยิน ได้ขับรถยนต์โตโยต้า รุ่นสปอร์ตไรเดอร์ แผ่นป้ายทะเบียน 3 กว-7719 กรุงเทพฯ ออกจากบ้านเลขที่ 9/13 ซอยคลังมนตรี โดยนายมานัส ขับรถยนต์ยี่ห้อฟอร์ด รุ่นเอฟเวอร์เรสต์ ทะเบียน กร 39 นครสวรรค์ ตามออกไปในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยขับออกไป อ.บางบัวทอง มุ่งหน้าไปทาง จ.สุพรรณบุรี
ส่วนรถยนต์สปอร์ตไรเดอร์ คันที่ใช้ก่อเหตุ ได้ขับขึ้นทางด่วนที่ด่านเก็บเงินพหลโยธิน ขับลงที่ถนนจันทร์ แล้วไปจอดรอที่ฝั่งตรงข้ามศาลแพ่งกรุงเทพใต้ (จุดเกิดเหตุ) เมื่อนายวีรชัย ลงจากรถแท็กซี่ พ.ต.ท.บรรยิน , นายณรงค์ศักดิ์ , นายประชาวิทย์ , นายชาติชาย ก็ร่วมกันพาตัวนายวีรชัย ขึ้นรถ แล้วขับหลบหนีขึ้นทางด่วนที่ด่านสุรวงศ์ ก่อนที่จะขับไปเข้าทางด่วนด่านบางซื่อ 1 ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปทาง อ.บางบัวทอง และ จ.สุพรรณบุรี
ระหว่างนั้น ผู้พิพากษาอาวุโสได้โทรศัพท์ไปหานายวีรชัย แต่ พ.ต.ท.บรรยิน กับพวก ได้ออกอุบายว่า นายวีรชัย เกิดอุบัติเหตุ เมื่อผู้พิพากษาอาวุโส ตรวจสอบตามโรงพยาบาลต่างๆ แล้วไม่พบเหตุ จึงไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ระหว่างนั้น ผู้พิพากษาอาวุโสได้โทรศัพท์ไปยังหมายเลขของนายวีรชัย อีกครั้ง โดย พ.ต.ท.บรรยิน กับพวก ได้พูดข่มขู่ผู้พิพากษาอาวุโส ให้พิพากษายกฟ้อง พ.ต.ท.บรรยิน กับพวก พร้อมกับให้คืนเงินกับหุ้นทั้งหมด หากไม่ทำตามก็จะฆ่าทิ้งนายวีรชัย พี่ชาย
ผู้พิพากษาอาวุโส จึงได้เข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เวลาต่อมา พ.ต.ท.บรรยิน กับพวก ก็ได้ร่วมกันฆ่านายวีรชัย แล้วนำศพไปเผาอำพราง ในพื้นที่ ต.ตาคลี อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ก่อนที่จะนำศพของนายวีรชัย ที่ยังเผาไหม้ไม่หมด รวมทั้งเถ้ากระดูก และเถ้าถ่านในจุดที่เผาไปทิ้งลงแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อทำลายหลักฐานในการกระทำผิด
สำหรับคดีนี้พนักงานสอบสวน บก.ป.ได้รวบรวมพยานหลักฐานยื่นคำร้องขอหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 6 คน ต่อศาลอาญา และ
ศาลได้อนุมัติหมายจับที่ 221/2563 ลงวันที่ 19 ก.พ.63 (พ.ต.ท.บรรยิน)
หมายจับที่ 222/2563 ลงวันที่ 19 ก.พ.63 (นายมานัส) ,
หมายจับที่ 223/2563 ลงวันที่ 19 ก.พ.2563 (นายณรงค์ศักดิ์) ,
หมายจับที่ 248/2563 ลงวันที่ 23 ก.พ.63 (นายประชาวิทย์) ,
หมายจับที่ 249/2563 ลงวันที่ 23 ก.พ.63 (ด.ต.ธงชัย) ,
หมายจับที่ 250/2563 ลงวันที่ 23 ก.พ.63 (นายชาติชาย)
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ป.ได้จับกุมตัวผู้ต้องหาที่ 1 – 6 ตามหมายจับดังกล่าวข้างต้น ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย
ชั้นสอบสวน ผู้ต้องหาที่ 1 , 2 , 6 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ส่วนผู้ต้องหาที่ 3 , 4 , 5 ให้การรับสารภาพ ตลอดข้อกล่าวหา
เหตุเกิดที่บริเวณหน้าศาลแพ่งกรุงเทพใต้ แขวงยานนาวา เขตสาทร , แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร , อ.ตาคลี , อ.เมืองนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ หลายท้องที่เกี่ยวพันกัน
เหตุเกิดเมื่อระหว่างวันที่ 7 ม.ค. – 5 ก.พ.63 ต่อเนื่องกัน
การกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดฐาน “ร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป,เป็นซ่องโจรโดยเป็นการสมคบเพื่อกระทำความผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไป , พยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำ การใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพของผู้อื่น โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป และเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่โดยร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใด” อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 139 , 140 วรรคแรก , 210 วรรคสอง , 289 (4) , 309 วรรคสอง , 313 (3) วรรคสาม และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 199 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 , 83
ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาที่ 1 กับพวก เนื่องจากคดีที่มีอัตราโทษสูงเกิน 3 ปี และเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีหรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน
ศาลพิจารณาคำร้องแล้วอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เหตุที่พนักงานสอบสวนยังไม่แจ้งข้อกล่าวหา ร่วมกันฆ่านายวีรชัย แก่ พ.ต.ท.บรรยิน กับพวก เนื่องจากต้องรอผลพิสูจน์ทางนิติเวช เพื่อให้เกิดความชัดเจนก่อน
matemnews.com
25 กุมภาพันธ์ 2563