.
เราทราบกันไปแล้วว่า ความรู้ความสามารถคือทรัพย์สินที่มีค่ามากที่สุด ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่พ่อและแม่ ต่างก็อยากจะให้การศึกษาที่ดีที่สุดแก่ลูก แต่ทราบไหมครับว่า ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาเป็นส่วนที่แพงขึ้นมากที่สุด
หากเราจะบอกว่า ค่าใช้จ่ายอะไรแพงขึ้นบ้าง เราก็ต้องมีมาตรวัดไว้สำหรับดูการเปลี่ยนแปลงของราคา ซึ่งโดยปกติเรามักจะดจากอัตราเงินเฟ้อ หรือ ภาวะที่ราคาสินค้าและบริการทั่วไปเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีผลให้มูลค่าของเงินลดลง ซึ่งในอดีตเรามักจะให้กำหนดสมมติฐาน อัตราเงินเฟ้อไว้ที่ 3% ต่อปี แต่ในความเป็นจริง อัตราเงินเฟ้อของประเทศไทยอยู่ในระดับต่ำมาหลายปี
.
ปี 2016 อัตราเงินเฟ้อทั่วไป 1.13%
ปี 2017 อัตราเงินเฟ้อทั่วไป 0.78%
ปี 2018 อัตราเงินเฟ้อทั่วไป 0.36%
ปี 2019 อัตราเงินเฟ้อทั่วไป 0.87%
และในปี 2020 อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ติดลบ
.
แต่ว่าไม่ใช่สินค้าทุกตัวที่ราคาปรับลง ยังคงมีสินค้าและค่าบริการหลายอย่างที่มีแต่จะปรับขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือ ค่าเล่าเรียน
.
บางทีปรับค่าเทอมขึ้นปีละ 5%-8% บางทีขึ้นปีละ 9%-10% นั้นหมายความว่า ถ้าปีนี้เราจ่ายค่าเล่าเรียนของลูก 100,000 บาท/ปี ปีต่อไปเราก็อาจจะต้องเตรียมเงินไว้ 105,000 – 110,000 บาท/ปี และถ้าหากเรามองถึงอนาคตยาวๆ ก็จะยิ่งทำให้เราเห็นถึงค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ เช่น ถ้าเราวางแผนส่งลูกเรียนปริญญาโทที่ต่างประเทศ ซึ่งค่าเทอมปัจจุบันประมาณ 1 ล้านบาทต่อปี แต่ตอนนี้ลูกเพิ่งอายุ 6 ขวบ และจะเรียนป.โทตอนอายุ 22 ปี ยังเหลือเวลาอีก 16 ปี ถึงจะได้เรียน จากค่าเทอมปีละ 1 ล้าน ก็อาจจะกลายเป็น 2.2 ล้านบาท (คิดอัตราเงินเฟ้อการศึกษา 5% จะเห็นได้ว่านี้คือค่าใช้จ่ายก้อนโตที่เราควรต้องทำการวางแผนไว้นั้นเอง
.
นี้ยังไม่รวมถึงถ้าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เราไม่สามารถหาเงินมาเพื่อส่งลูกเรียนได้ จะทำอย่างไร?
.
หากท่านไหนอยากให้ทาง TIPlife ช่วยวางแผน สามารถติดต่อมาได้เลยนะครับ
.