Home ข่าวทั่วไปรอบวัน สาวกระเตงลูกวัย 9 เดือนหนีตาย หลังชายคลั่งปีนข้ามรั้วไล่ทำร้ายในบ้านหรู!!

สาวกระเตงลูกวัย 9 เดือนหนีตาย หลังชายคลั่งปีนข้ามรั้วไล่ทำร้ายในบ้านหรู!!

225
0
SHARE
เตือนภัยสาวเจ้าของบ้านหรูกว่า 10 ล้านกระเตงลูกน้อยวัย 9 เดือนหนีตายร้องขอความช่วยเหลือจากชายคลุ้มคลั่งปีนเข้ามาในบ้านแล้ววิ่งไล่ทำร้ายหวิดได้รับอันตราย เดชะบุญเพื่อนบ้านช่วยกันจับคนร้ายได้ โดยมีกล้องวงจรปิดจับภาพเหตุการณ์ได้อย่างชัดเจน

นี่คือเฟสบุ๊คชื่อว่า Pomp Jindatunmanussarn ได้โพสต์ข้อความเตือนภัยบนเฟสบุ๊คว่า “ #คนงานในโครงการ ยอมจ่ายเงินหลักสิบกว่าล้าน เพื่อครอบครัวเล็กๆ เพื่อระบบsucurity ขั้นสุด เพื่อสิ่งแวดล้อมที่สงบสุขและเพื่ออาณาเขตที่ปลอดภัยในความเป็นส่วนตัว แต่บางที่ในอาณาเขตที่คิดว่าปลอดภัยที่สุดกลับกลายเป็นอันตรายที่สุด เรายังทำบุญมาดีที่ทั้งแม่และลูก ไม่มีใครเป็นอะไร แต่ใจแม่ไม่โอเคมากๆคะ รู้แต่แม่ต้องวิ่งสุดชีวิตเอาลูกใส่ hip seat แขวนไว้ที่หน้าอก ขอบคุณเพื่อนบ้านที่แม่นึกถึงยามที่ภัยมาถึงเสี้ยววินาทีนั้น ขอบคุณท่านอัยการปิยะและภรรยา ที่ให้ความช่วยเหลือนะคะ ”

พร้อมกับภาพจากกล้องวงจรปิดเมื่อช่วงเวลา 09.30 น.ของวันที่ 31 มกราคม ที่ผ่านมา สามารถจับภาพชายวัยรุ่น ปีนบ้านที่อยู่หลังบ้านเกิดเหตุซึ่งไม่มีคนอยู่อาศัย ข้ามมายังบ้านที่อยู่ด้านข้างของบ้านเกิดเหตุจังหวะนั้นนางสาวปวิตรา เจ้าของบ้านอุ้มลูกน้อยวัย 9 เดือน ออกมายังหลังบ้านเมื่อคนร้ายเห็นจึงปีนกำแพงข้างบ้านข้ามมายังบ้านนางสาวปวิตราทันที นางสาวปวิตราจึงอุ้มลูกวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิต คนร้ายก็พยายามวิ่งตามไปอีกมุมของบ้าน ซึ่งมีประตูปิดอยู่ คนร้ายจึงพยายามเปิดประตู แต่เปิดไม่ออก จากนั้นวิ่งตามนางสาวปวิตราต่อไปอีกบริเวณหน้าบ้าน โชคดีขณะนั้นมีคนวิ่งเข้ามาช่วยเหลือจับตัวคนร้ายไว้ได้ทัน

ต่อมาเมื่อเวลา 13.30 น. วันนี้ (2 กุมภาพันธ์ 2564 ) ผู้สื่อข่าวจึงทำการลงพื้นที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นบ้านหรู ราคากว่า 10 ล้านบาทพบนางสาวปวิตรา จินดาธรรมานุสาร อายุ 39 ปีเจ้าของบ้านเลขที่ 145/27 ตั้งอยู่ในโครงการบ้านจัดสรรแห่งหนึ่งในพื้นที่ ต.เสม็ด อ.เมือง จ.ชลบุรี ซึ่งจากการตรวจสอบภายในบ้านเกิดเหตุยังคงพบร่องรอยนิ้วมือ นิ้วเท้า ที่กำแพงบ้าน และประตูบ้านอย่างชัดเจน

สอบถามนางสาวปวิตรา เปิดเผยว่าวันเกิดเหตุตนอุ้มลูกน้อยออกมาหลังบ้านเพื่อจะทำการซักผ้า จากนั้นคนร้ายเห็นตนก็ได้ปีนบ้านเข้ามาหาตนทันที ตนเห็นท่าไม่ดีจึงรีบวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิตไปบริเวณหน้าบ้านและร้องขอความช่วยเหลือ โดยท่าทีคนร้ายมีอาการคล้ายประสาทหลอน สายตาล่อกแล่กไปมา หันหน้าหันหลังตลอดเวลาเหมือนอาการคนคลั่งอะไรสักอย่างหลังจากที่จับคนร้ายได้ก็ได้รู้ว่าคนร้ายที่ก่อเหตุคือคนงานที่ทำงานก่อสร้างให้กับหมู่บ้าน ซึ่งทางโครงการจะมีประตูด้านหลังโครงการให้คนงานเดินเข้ามาทำงานได้ โดยจะมี รปภ.เฝ้าไว้

แต่วันเกิดเหตุ รปภ.ก็บอกว่าเห็นท่าทีคนร้ายไม่ปกติ ไม่น่าไว้ใจแต่ก็ให้เข้ามาเพราะเห็นเป็นคนงานที่ทำงานกับหมู่บ้านมานาน 4-5 ปี จากนั้นก็เข้ามาก่อเหตุตามที่เห็นจากภาพวงจรปิด โชคดีที่วันเกิดเหตุลูกเล็กวัย 5 ขวบ กับ 9 ขวบ ออกไปซื้อของกับสามี ไม่เช่นนั้นปกติเด็ก ๆ ก็จะมาวิ่งเล่นบริเวณรอบ ๆ บ้าน จึงไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าคนร้ายเจอเด็ก ๆ จะเกิดอะไรขึ้น ลูกอาจต้องบาดเจ็บ หรือตนอาจจะไม่ได้เจอลูก ๆ อีกเลย

ทุกวันนี้ตนอยู่บ้านด้วยความหวาดระแวง ได้ยินเสียงอะไรก็พาหลอนไปหมด ไม่สามารถเปิดประตูบ้าน เปิดม่านได้เลย เพราะยังคงหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คิดอยู่เสมอว่าจะซื้อบ้านราคาหลัก 10 ล้าน เพราะต้องการความปลอดภัย ซื้อการมีคุณภาพชีวิตที่ดี แต่ในวันนี้กลับทำให้รู้สึกว่าคิดผิดมากที่ยอมจ่ายเงินขนาดนี้ และยังต้องมาเจอเหตุการณ์ที่ร้ายแรง โดยที่ทางเจ้าของโครงการก็ยังไม่ออกมาขอโทษ หรือแม้แต่มีมาตรการชี้แจงถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น หรือระบบความปลอดภัยต่อจากนี้ ตนจึงอยากฝากเรื่องนี้ไว้เป็นอุทาหรณ์สำหรับทุกคนว่า แม้แต่อยู่ในบ้านตนเองก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ให้ล็อคประตูบ้าน ให้แน่นหนา เพราะเหตุร้ายอาจเกิดเมื่อไหร่ก็ได้ ซึ่งครั้งนี้ตนโชคดีที่รอดมาได้แบบหวุดหวิด

ในส่วนของคดีความพบว่า หลังจากพลเมืองดีเข้ามาช่วยจับตัวคนร้ายไว้ได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เสม็ด จึงเข้ามาทำการควบคุมตัวทราบชื่อคนร้ายคือ นาย เทดเพียงโอ แพน (THET PAING OO PAN) สัญชาติเมียนมาร์ อายุ 26 ปี จากการสอบสวนทราบว่า วันเกิดเหตุผู้ต้องหาไปดื่มสุรามาทั้งคืน แล้วหายออกไปจากแคมป์คนงาน คนงานในแคมป์พยายามช่วยกันตามหาแต่ก็ไม่พบจนสุดท้ายวนมาดูบริเวณจุดเกิดเหตุ พบผู้ต้องหากำลังก่อเหตุพอดี จึงเข้าช่วยเหลือผู้เสียหาย และเกลี้ยกล่อมผู้ต้องหาจนสงบลง ก่อนจะโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาทำการควบคุมตัวไป เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวไปตรวจหาสารเสพติดในร่างกายแต่ก็ไม่พบ จึงทำการแจ้งข้อกล่าวหาบุกรุกเคหสถาน และทำการส่งตัวฟ้องศาลดำเนินคดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ที่มา แชร์ข่าวชลบุรี