เซินเจิ้นใช้เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าเพื่อระบุตัวตนผู้ฝ่าฝืนการจราจรและเรียกเก็บเงินค่าปรับตามเป้าหมายที่ตั้งขึ้นเพื่อสร้างเมืองให้เป็นสมาร์ทซิตี
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา อุปกรณ์เฝ้าระวังจำนวน 40 ชุด ได้ถูกติดตั้งไว้บริเวณสี่แยกที่มีความพลุกพล่านและมีผู้สัญจรไปมาเป็นจำนวนมาก
“ตำรวจอิเล็กทรอนิคส์” จะเพ่งเล็งผู้ขับขี่ในบางอุตสาหกรรมบางประเภทเป็นพิเศษ เช่น บริการจัดส่งสินค้า รวมถึงผู้ที่ถูกสั่งเพิกถอนใบขับขี่ เป็นต้น
การละเมิดสี่ประเภทที่จะถูกจับตาเป็นพิเศษ ประกอบด้วย การฝ่าไฟแดง การใช้ถนนไม่ตรงกับสัญญาณจราจร ยานพาหนะไม่ใช่เครื่องยนต์ที่วิ่งบนถนน และรถยนต์ที่ขับโดยไม่มีใบอนุญาต
ในวันแรกที่ใช้ระบบดังกล่าว พบ 58 เคสที่เกี่ยวข้องกับการข้ามถนนไม่ดูสัญญาณไฟ ยานพาหนะที่ไม่ใช่ยานยนต์บางประเภทอีก 67 รายที่วิ่งอย่างผิดกฎจราจร โดยผู้ฝ่าฝืนจะได้รับการแจ้งเตือนผ่านทางข้อความและถูกปรับเป็นเงินตามระดับความรุนแรงของการละเมิด
การตัดสินใจครั้งนี้ถือเป็นแรงผลักดันล่าสุดของเซินเจิ้นที่พยายามจะใช้เทคโนโลยีชั้นสูงในการดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยของเมือง ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่นานเซินเจิ้นก็เคยเปิดตัวโปรแกรมเทคโนโลยีจดจำใบหน้าเพื่อใช้ควบคุมยานพาหนะ
เจ้าหน้าที่กล่าวว่า เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าทำให้เซินเจิ้นประสบความสำเร็จในการขยายการควบคุมจากยานพาหนะเพียงอย่างเดียวไปยังคนเดินเท้าด้วย พร้อมกล่าวว่าเซินเจิ้นวางแผนที่จะขยายเครือข่ายการเฝ้าระวังโดยเพิ่มอุปกรณ์การตรวจจับใบหน้าอย่างน้อย 200 ชุดภายในสิ้นปีนี้
หลายคนคงทราบดีว่า นครเซินเจิ้นเป็นที่ตั้งของบริษัทด้านเทคโนโลยีชื่อหลายแห่ง เช่น Huawei Tencent และ DJI เซินเจิ้นจึงพยายามที่จะผสานเทคโนโลยีขั้นสูงต่างๆ ของบริษัทเหล่านี้เข้ากับระบบการควบคุมการจราจร ไม่ว่าจะเป็นการโชว์ใบหน้าของผู้ฝ่าฝืนกฎบนจอสกรีนขนาดใหญ่ การระบุตัวตนของผู้ฝ่าฝืนซึ่งทำให้หลายคนออกมาแสดงความกังวลในประเด็นเรื่องการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
อย่างไรก็ดี นอกจากเซินเจิ้นแล้ว เมืองอื่นๆ ของจีนก็มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าเช่นกัน เช่นเมื่อเดือนที่แล้ว มีผู้ต้องสงสัยถูกจับกุม เพราะถูกระบบตรวจจับใบหน้าตรวจพบ ท่ามกลางฝูงชนจำนวน 60,000 คนที่เข้าร่วมการแสดงดนตรีในเมืองหนานชาง มณฑลเจียงซี
ข้อมูลโดย China Xinhua News