SHARE

เป็นประเด็นเรื่องราวภายในครอบครัวของดารารุ่นใหญ่ เอ๋-ไพโรจน์ สังวริบุตร จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในโลกโซเชียล ว่ามีการเปิดศึกแย่งสมบัติระหว่างพ่อและลูกชาย

ล่าสุดที่งานเปิดตัว เอซสตูดิโอ ซอยคลองหลวง 17 เอ๋ ไพโรจน์ ก็เดินทางมาแสดงความยินดีสตูดิโอบันเทิงครบวงจร พร้อมให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงกรณีที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวกรณีลูกออกมาโพสต์ว่าโดนตัดชื่อออกจากทะเบียนบ้าน ถึงขั้นเตรียมฟ้องศาลอีกด้วย

โดยดารารุ่นใหญ่บอกว่า เรื่องผ่านมานานแล้วและจบไปแล้ว จากวันนั้นมาชี้แจงเขาไปก็จบ เรื่องที่ฟ้องศาลก็เขาฟ้องก่อนที่จะเกิดเรื่องตรงนั้นอยู่แล้วคือเขาไปฟ้องศาลปกครอง หมายถึงเขาแคลงใจว่าส่วนราชการทำถูกระเบียบไหม ที่ชื่อเขาออกไปจากทะเบียนบ้าน เป็นความแคลงใจของเขา พูดง่ายๆ เหมือนไปถามว่าทำไมเอาออกมาได้ แต่ในทางกฎหมายแล้ว คำว่าเจ้าของบ้าน กับเจ้าบ้านในทะเบียนบ้านเป็นคนละเรื่องกัน ตรงนี้ทำให้เกิดความไม่เข้าใจกัน เพราะเขาฟ้องตั้งแต่ก่อนมีข่าวแล้ว

มีคนจับผิดว่าเราเป็นคนเซ็นให้เขาย้าย ?

“แน่นอน เราเป็นเจ้าของบ้าน จะเอาตัวเราเองไปเป็นเจ้าบ้าน จริงๆ แล้วโดยหลักการเขาจะต้องย้ายเข้าทะเบียนบ้านกลาง เราก็ไม่ได้ทำขนาดนั้นนะ แค่เข้าไปเป็นเจ้าบ้าน แล้วให้เขาเป็นลูกบ้าน ไม่ได้ดึงชื่อออก”

ทั้งนี้ยอมรับว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจริงๆ นั้น ลูกชายอยากเป็นเจ้าบ้าน ไม่อยากให้มองว่าเป็นการแย่งสมบัติในสังคมไทยไม่มีใครเห็นด้วยหรอกที่ลูกจะมาอยากได้สมบัติของพ่อแม่ ในขณะที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ ฉะนั้นอย่าพูดแบบนั้นสงสารลูก คนจะเข้าใจผิด หลังจากเรื่องเกิดขึ้นมา 3 เดือนก็ยังไม่ได้มีการพูดคุยอะไรกับลูก

ปัญหาคือลูกอยากมีชื่อเป็นเจ้าของบ้าน ?

“จริงๆ แล้วน้องพีทเขาไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย เป็นเรื่องระหว่างคุณแม่เขา คือแต่เดิมเนี่ยเมื่อก่อนแต่งงานอยู่ด้วยกัน เราเป็นเจ้าบ้านอยู่ทางกรุงเทพฯ สร้างบ้านกี่หลังเราก็ต้องเอาคนอื่นไปใส่ชื่อไว้ เพราะโดยกฎหมายแต่ละบ้านต้องมีคนรับผิดชอบ เพราะไม่อย่างนั้นถ้าเกิดการซ่องสุม ผู้ร้ายไปอยู่ ไปค้ายาเสพติด มันต้องมีคนรับผิดชอบ เพราะฉะนั้นต้องมีชื่อ คนทั่วไปเขาจะเข้าใจกฎหมายว่าคนเป็นเจ้าของบ้านกับคนที่เป็นเจ้าบ้านมันคนละเรื่องกัน แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าคุณแม่เขาคงไม่พอใจ หรืออะไรก็แล้วแต่ ลูกชายเขาอยู่ด้วย แม่เขาก็คงไปบ่น เท่านั้นเอง ก็อย่าไปต่อความยาวสาวความยืดเลย สงสารลูกเขา เพราะว่าเขาเข้าใจผิดก็ชี้แจงเขาไป ตั้งแต่วันนั้นพอมีข่าวมาก็ชี้แจงไปมันก็จบแล้ว ก็อย่าไปรื้อฟื้นอะไร”

ตอนนี้บ้านก็จะทำเป็นสถานปฏิบัติธรรมด้วย ?

“ยังไม่ได้เปลี่ยน เป็นดำริว่าถ้าต่อไปเนี่ยอยากจะทำให้เป็นสถานปฏิบัติธรรม เพราะแฟนใหม่เขาจะไปแนวนี้ เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ก็ไปบวชชีมาเดือนหนึ่ง เมื่อ 3 เดือนก็ไปเข้าคอร์สมา คือเขามีใจทางด้านเกี่ยวกับสมาธิ และเขารู้ว่าอันนี้จะเป็นประโยชน์ต่อคน เคยมาเอ่ยปากขอว่าถ้าต่อไปมันไม่ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ จะทำสถานปฏิบัติธรรมได้ไหม ผมก็ยินดี เพราะถ้าทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อจิตใจของคนทั่วๆ ไป ก็ไม่มีอะไรที่จะขัดข้องแค่นั้นเอง ยังไม่ได้เป็น”