SHARE

ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก ศูนย์รวมงานศิลปะและวัตถุโบราณชั้นเยี่ยมของเอเชีย บนฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เอาใจคนรักศิลปะทุกเพศวัย จัดสองนิทรรศการมัลติมีเดียระดับโลก ครั้งแรกในเอเชียที่กรุงเทพฯ
FROM MONET TO KANDINSKY” (ฟร็อม โมเน่ต์ ทู คันดินสกี้) และ ITALIAN RENAISSANCE” (อิตาเลียน เรอเนสซ็องส์) สำหรับนิทรรศการ FROM MONET TO KANDINSKY นำเสนอผลงานของ 16 ศิลปินยุโรป ระดับมาสเตอร์ กว่า 1,500 ภาพ รวบรวมจาก 20 พิพิธภัณฑ์ทั่วโลก ผลงานฉายบนโปรเจ็กเตอร์ที่กำแพงสูง 3 เมตร บนพื้นที่นับพันตารางเมตรของอาร์ซีบี แกลเลอเรีย (RCB Galleria) ชั้น 2 ส่วน ITALIAN RENAISSANCE ถือเป็นเวิลด์พรีเมียร์ (World Premiere) ครั้งแรกของโลก โดยนิทรรศการ FROM MONET TO KANDINSKY เปิดให้บุคคลทั่วไปได้เข้าชมตั้งแต่ วันนี้ ถึง 31 ก.ค. 62 ต่อด้วยนิทรรศการ ITALIAN RENAISSANCE ตั้งแต่ วันที่ 8 ส.ค. ถึง 31 ต.ค. 62 เปิดให้ชมทุกวัน ณ อาร์ซีบี แกลเลอเรีย (RCB Galleria) ชั้น 2 ซึ่งเป็น Contemporary Art Space ตั้งแต่เวลา 10.00-22.00 น.

ภายในงานเปิดนิทรรศการ ซึ่งจัดขึ้นที่อาร์ซีบี อาร์เทอรี (RCB Artery) ชั้น 1 ของริเวอร์ ซิตี้
แบงค็อก บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่น ได้รับเกียรติจาก ยุทธชัย จรณะจิตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทอิตัลไทยฯ และผู้บริหาร ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก และลินดา เชง กรรมการผู้จัดการ ริเวอร์ ซิตี้แบงค็อก ร่วมด้วย Mr.Oleg Marinin (มร.โอเลก มารินิน) Managing Partner ของบริษัท Vision Multimedia Projects GmbH และ พงษ์สรวง คุณประสพ หรือ โน้ต DUDESWEET อาร์ทิสต์หนุ่ม
ชื่อดัง ตลอดจนเหล่าเซเลบริตี้ ที่รักงานศิลปะร่วมชมงานจำนวนมาก อาทิ นวลพรรณ  โอสถานนท์,
ครูปาน
-สมนึก คลังนอก, ภดารี บุนนาค, ธัชมาพรรณ จันทร์จำรัสแสง, จิตต์สิงห์ สมบุญ,
เพ็ญสุภา คชเสนี, คณชัย เบญจรงคกุล
ฯลฯ

ลินดา เชง กรรมการผู้จัดการ ริเวอร์ ซิตี้แบงค็อก กล่าวภายในงานว่า ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก มีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนศิลปะทุกแขนง เพื่อที่จะแน่ใจว่า ทุกกิจกรรมของเราจะให้ทั้งสาระความรู้และความบันเทิงกับผู้เข้าชม  ซึ่งหลังจากที่ทุกท่านได้รับชมนิทรรศการ FROM MONET TO KANDINSKY ในวันนี้จะต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน

สองนิทรรศการมัลติมีเดีย สร้างสรรค์โดย VISION MULTIMEDIA PROJECTS ประกอบด้วย 2 ส่วน ส่วนแรกคือ From Monet to Kandinsky จัดแสดงผลงานจาก 16 ศิลปินผู้ทรงอิทธิพลต่อประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตกในช่วงศตวรรษที่ 20 ซึ่งทุกคนล้วนแต่มีสิ่งที่เหมือนกัน คือ ความพยายามและความมุ่งมั่นอย่างไม่ย่อท้อ ที่จะเปลี่ยนวิถีความคิดของผู้คน และสิ่งต่างๆ รอบตัว นอกเหนือจาก
คำวิพากษ์วิจารณ์และการปฏิเสธจากผู้คนรอบข้างแล้ว ศิลปินทั้ง 16 คน นับเป็นจุดเริ่มต้นของ
การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ด้านศิลปะของโลก ซึ่งเราสามารถเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจจากการก้าวตามความฝันของศิลปินแต่ละคนได้

“นอกจากนี้ในปี 2019 นี้ยังถือเป็นโอกาสพิเศษที่ทั่วโลกได้รำลึกถึงครบรอบการเสียชีวิต 500 ปีของศิลปินระดับมาสเตอร์อย่างเลโอนาร์โด ดา วินชี (Leonardo da Vinci) ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก จึงนำเสนอนิทรรศการส่วนที่สองคือ ITALIAN RENAISSANCE เพื่อเผยผลงานของสุดยอดศิลปินแห่งอิตาเลียน
เรอเนสซองส์ นอกจากนี้ได้นำเสนอผลงานของไมเคิลแองเจโล (Michelangelo) ราฟาเอล (Raphael) และบอตติเชลลี (Botticelli) มารวมไว้ในที่เดียว เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่ชื่นชอบและหลงใหลศิลปะในประเทศไทย อีกทั้งเป็นการสนับสนุนการศึกษาด้านศิลปะ โดยไอเดียการจัดนิทรรศการนี้ เริ่มมาจาก Vision Multimedia Projects บริษัทระดับอินเตอร์ ที่เชี่ยวชาญด้านงานนิทรรศการในรูปแบบมัลติมีเดีย
อันทันสมัย โดยใช้เทคโนโลยีต่างๆ สร้างสรรค์นิทรรศการ ประกอบด้วย กราฟิกอนิเมชั่น เครื่องฉายภาพที่ทันสมัย คมชัด รวมถึงจอขนาดใหญ่ และระบบเสียงรอบทิศทาง ซึ่งเคยมีผลงานการจัดเป็นนิทรรศการและประสบความสำเร็จอย่างสูงมาแล้วในต่างประเทศ”

 

“จึงนับเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้ชื่นชอบศิลปะ ตลอดจนนักเรียน นักศึกษา และผู้ที่สนใจจะได้มาชมงานด้วยความเพลิดเพลิน และสนุกไปกับศิลปะชิ้นมาสเตอร์พีซระดับโลกในบริบท
ร่วมสมัย อันเป็นเจตนารมณ์ของริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก ที่ต้องการนำเสนอศิลปะเพื่อสุนทรียะและความรู้ให้คนทุกช่วงวัยไปพร้อมๆ กัน โดยตลอดระยะเวลาที่มีนิทรรศการ FROM MONET TO KANDINSKY และ ITALIAN RENAISSANCE จะมีกิจกรรมต่างๆ ที่น่าสนใจด้วย อาทิ เวิร์กช็อป สัมนา การแสดงด้านศิลปะและดนตรีที่เชื่อมโยงกัน เพื่อให้ผู้ชมได้เข้าใจ และมีส่วนร่วมในนิทรรศการมากขึ้น อีกทั้งยังได้ใกล้ชิดกับผู้ที่มีชื่อเสียงในแวดวงศิลปะทั้งในประเทศไทยและระดับโลกอีกด้วย”  ลินดา กล่าว

 

ด้าน มร.โอเลก มารินิน (Mr.Oleg Marinin) Managing Partner แห่ง Vision Multimedia Projects GmbH ผู้ร่วมสร้างสรรค์นิทรรศการครั้งสำคัญนี้ เผยว่า ที่ผ่านมา Vision Multimedia Projects เคยจัดนิทรรศการที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เป็นระยะเวลายาวนานถึง 12 เดือน ในระหว่างปี
2017-2018 มาแล้ว โดยมีทั้งชาวเยอรมัน และชาวต่างชาติเข้าชมงานดังกล่าว ซึ่งถือเป็นหนึ่งในนิทรรศการที่ได้จัดแสดงยาวนานที่สุดในเบอร์ลิน

 

“สำหรับการนำเสนอในนิทรรศการนี้ จะประกอบไปด้วยภาพโปรเจ็กเตอร์ที่ฉายบนผนัง โดยมีเนื้อหาหลักเป็นผลงานทางศิลปะของศิลปินเอกแต่ละท่าน ผลงานดังกล่าว จะปรากฏขึ้นบนจอขนาดใหญ่ และเรียงรายในมุมอันแตกต่างภายในห้องสื่อผสมหรือมัลติมีเดีย 2 ห้อง ความยาวทั้งหมดรวมกันจะอยู่ที่ 63 นาที เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมได้ดื่มด่ำอยู่ในโลกของศิลปะที่สร้างสรรค์ขึ้น เป็นโลกที่เพียบพร้อมไปด้วยความดั้งเดิมอย่างแท้จริง และการหลอมรวมงานศิลป์อย่างลงตัว ภาพที่ฉายขึ้นบนหน้าจอจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ อย่างไร้รอยต่อ โลดแล่นราวกับมีชีวิต และเคลื่อนไหวไปตามจังหวะเสียงดนตรี เพื่อโอบล้อมผู้เข้าชมด้วยแสงสีเสียง ทั้งนี้ พิพิธภัณฑ์กว่า 20 แห่งในโลก ได้อนุญาตให้ผู้จัดนิทรรศการนี้ด้วยการนำผลงานราว 1,500 ชิ้น ของพวกเขามาปรับใช้ในนิทรรศการอันน่าตื่นเต้นนี้ได้”

 

มร.โอเลก กล่าวต่อไปว่า ศิลปินระดับมาสตอร์ที่ได้รับเลือกให้มาจัดแสดงในนิทรรศการมัลติมีเดีย FROM MONET TO KANDINSKY ล้วนมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือ พวกเขาปฏิเสธแนวทางของยุคเก่า
ให้ความสำคัญต่อนวัตกรรมและการทดลองสิ่งใหม่ในแง่ของรูปแบบ วัสดุที่ใช้ตลอดจนเทคนิคเพื่อค้นหารูปแบบทางทัศนศิลป์ที่สามารถสะท้อนเรื่องราวแห่งยุคสมัยได้อย่างแท้จริง

 

“นิทรรศการนี้ ยังถือเป็นแพล็ตฟอร์มสำหรับการศึกษาอย่างดีอีกด้วย เพราะมีห้อง Introduction
ที่สร้างสรรค์ขึ้นมาเป็นพิเศษก่อนจะเข้าสู่ห้องมัลติมีเดียทั้งสองห้อง

 

การจัดห้อง Introduction ก่อนจะเข้าสู่ห้องนิทรรศการมัลติมีเดียทั้งห้องเล็กและห้องใหญ่ ทำให้
ผู้เข้าชมมีโอกาสได้เรียนรู้เกี่ยวกับบริบทที่สำคัญของยุคสมัยเพื่อให้เข้าใจกับความคิดของศิลปิน เช่น
คาซีมีร์ มาเลวิช (Kazimir Malevich) เลือกนำเสนอภาพที่แปลกใหม่อย่าง Black Square แทน เทคโนโลยีดิจิทัลบันดาลให้ภาพวาดแบบลัทธิสมัยใหม่โลดแล่นราวกับมีชีวิตจริงในงานนิทรรศการนี้ได้ส่วนหนึ่ง เพราะเมื่อหนึ่งศตวรรษก่อน งานศิลป์ของจิตรกรลัทธินี้นี่เอง ที่ได้เปิดช่องทางแรกให้ผู้คนมองเห็นอนาคตของเทคโนโลยีในวันข้างหน้า” มร.โอเลก กล่าว

 

ภายในงานได้รับเกียรติจาก พงษ์สรวง คุณประสพ หรือ โน้ต DUDESWEET นักออกแบบ ศิลปิน และผู้ก่อตั้งปาร์ตี้ Dudesweet เล่าให้เห็นความสำคัญของทิศทางศิลปะในช่วงโมเน่ต์ถึงคานดินสกี้ในแบบ timeline เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นอิทธิพลของศิลปะในยุคนั้นว่า ศิลปะเป็นเครื่องมือบันทึกทิศทางของสังคมและความคิดในแต่ละยุคสมัยซึ่งสามารถสะะท้อนความเป็นไปในช่วงเวลาที่ศิลปินสร้างงานได้ในทุกหมวด ทั้งความเชื่อ การเมือง วิวัฒนาการ มุมมองเรื่องความงาม และในยุคโมเดิร์นนิสม์ (Modernism) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นิทรรศการ FROM MONET TO KANDINSKY นำเสนอ ก็เป็นช่วงเวลาสำคัญของสังคมโลก เป็นช่วงเวลาที่มีทั้งสงคราม การปลดแอกทางความคิด วิวัฒนาการทางวิทยาศาสตร์และทคโนโลยี และเป็นยุคการสร้างนิยามศิลปะแบบฉีกความเชื่อทางด้านศิลปะเดิมๆ อย่างสิ้นเชิง นับเป็นช่วงเวลาที่ตื่นเต้นที่สุดช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์ศิลปะ และแน่นอนว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนส่งอิทธิพลกับเมืองไทยของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

จากนั้นพบกับการแสดงของ พัด ชนุดม ศิลปิน Glam Rock ที่มีแบ็คกราวด์ทางด้านละครเวที musical ปัจจุบันเป็นศิลปินหน้าใหม่ของค่าย What the Duck และเพิ่งไปเล่นที่งานเทศกาลดนตรี
South by Southwest ซึ่งเป็นเทศกาลดนตรีของอเมริกา โดยงานนี้เขาจะมาร้องเพลงพร้อมการแสดงที่นำ
แรงบันดาลใจจากศิลปะยุคเรอเนสซ็องส์ มาหักมุมและประยุกต์กับดนตรีร่วมสมัย เป็นการแสดงพิเศษรอบเดียวที่ออกแบบเพื่อนิทรรศการครั้งนี้โดยเฉพาะ ร่วมด้วยการแสดงแฟชั่นโชว์ ผลงานของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ (พื้นที่พระนครใต้ ) คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ สาขาวิชาการออกแบบแฟชั่น ผลงานแต่ละชุดได้รับแรงบันดาลใจจากผลงานของวินเซ็นต์ แวน โก๊ะห์ (Van Gogh) โคลด โมเน่ต์ (Claude Monet) เอ็ดการ์ เดอกาส์ (Edgar Degas) และกุสตาฟ คลิมท์ (Gustav Klimt)

 

สำหรับศิลปินที่มีผลงานมาจัดแสดงในรูปแบบมัลติมีเดียของนิทรรศการ FROM MONET TO KANDINSKY ได้แก่ โคลด โมเนต์ (Claude Monet) เอ็ดการ์ เดอกาส์ (Edgar Degas) พอล โกแก็ง
(Paul Gauguin) อ็องรี รูสโซ (Henri Rousseau) อ็องรี ตูลูส-โลเทร็ค (Henri Toulouse-Lautrec)
กุสตาฟ คลิมท์ (Gustav Klimt) พอล ซีญัค (Paul Signac) พีท มอนเดรียน (Piet Mondrian) อเมเดโอ
โมดิกลิอานี (Amedeo Modigliani) วินเซนต์ แวน โก๊ะห์ (Vincent van Gogh) ปิแอร์ ออกุสต์ เรอนัวร์ (Pierre Auguste Renoir) ยวน กริซ (Juan Gris) พอล เคล (Paul Klee) เอ็ดเวิร์ด มุงค์ (Edward Munch) คาซีมีร์ มาเลวิช (Kazimir Malevich) และวาซิลี คันดินสกี (Wassily Kandinsky) ซึ่งศิลปินทั้งหมดนี้ มีสิ่งหนึ่งเหมือนกันคือการปฏิเสธสไตล์ต่างๆ ในอดีต แล้วมุ่งไปที่สิ่งใหม่ และทดลองใช้รูปแบบ วัสดุ และเทคนิคที่ไม่เคยมีมาก่อน เพื่อค้นหารูปแบบทางทัศนศิลป์ อันนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของยุคสมัย

 

FROM MONET TO KANDINSKY จึงเสมือนการเดินทางไปสู่โลกแห่งศิลปะในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่วัฒนธรรมและสังคมกำลังเข้าสู่การปฏิวัติอย่างแท้จริง ที่ทุกปีเกิดสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ เข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเล่นแผ่นเสียง โรงภาพยนตร์ เครื่องพิมพ์ดีด ไฟฟ้า เครื่องบิน โทรศัพท์ เครื่องเอ็กซ์เรย์ และในช่วงที่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรม ทั่วโลกก็ตื่นตระหนกไปกับความขัดแย้งทางการเมืองและสงคราม อันนำมาซึ่งกระแสทางศิลปะ (art movement) หรือกลุ่มลัทธิทางศิลปะต่างๆ เช่น กลุ่มลัทธิเอ็กซ์เพรสชั่นนิสม์ (Expressionism) ศิลปะนามธรรม (Abstract Art) กลุ่มลัทธิเซอร์เรียลลิสม์ (Surrealism) และกลุ่มลัทธิอนุตรนิยม หรือซูพรีมาติสม์ (Suprematism) และอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดรวมเรียกว่า “ศิลปะสมัยใหม่” (Modern Art) ในเวลาต่อมา ผลงานจิตรกรรมของศิลปินในกลุ่มโมเดิน์นนิสม์มักเต็มไปด้วยรายละเอียดที่ซ่อนเร้นอยู่ซึ่งไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตา จึงต้องเดินชมโดยรอบเพื่อเปิดประสบการณ์ในพื้นที่จัดแสดง ซึ่งแตกต่างจากนิทรรศการโดยทั่วไป เสมือนเป็นการปลุกภาพงานศิลปะให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลเพราะเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วงานศิลปะของศิลปินกลุ่มโมเดิร์นนิสต์ คือ ผู้บุกเบิกอนาคตแห่งเทคโนโลยี

 

ในขณะที่ยุคเรอเนสซองส์ (Renaissance) ก็มีความสำคัญต่ออารยธรรมโลกไม่แพ้กัน ยุคนี้อยู่ในช่วงศตวรรษที่ 14-15 เป็นยุคแห่งการฟื้นฟูศิลปวิทยาการในยุโรป หลังจากที่ได้ผ่านยุคกลางหรือยุคมืด
(Medieval Age) ซึ่งเป็นระยะเวลายาวนานกว่าหนึ่งพันปี คำว่า “Renaissance” เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่า “การเกิดใหม่” (Rebirth) ในแง่ของศิลปะ ยุคนี้เต็มไปด้วยศิลปินผู้ยิ่งใหญ่และผลงานระดับมาสเตอร์พีซ
ไม่ว่าจะเป็นภาพ Mona Lisa และ The Last Supper ของเลโอนาร์โด ดา วินชี (Leonardo da Vinci) ภาพวาดบนเพดานของโบส์ซีสทีน (The Sistine Chapel) อันตระการตาของไมเคิลแองเจโล (Michelangelo) ภาพวาดสามมิติบนฝาผนังหลายชิ้นที่นครรัฐวาติกันจากฝีมือของราฟาเอล (Rapahel) และภาพ The Birth of Venus ของบอตติเชลลี (Botticelli) ทั้งหมดนี้จะถูกปลุกขึ้นมาให้มีชีวิตอีกครั้งด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัย

 

นิทรรศการ FROM MONET TO KANDINSKY เปิดให้บุคคลทั่วไปได้เข้าชมตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ก.ค. 62 ต่อด้วยนิทรรศการ ITALIAN RENAISSANCE ตั้งแต่วันที่ 8 ส.ค. ถึง 31 ต.ค. 62
เปิดให้ชมทุกวัน เวลา 10:00-22:00 น. ณ อาร์ซีบี แกลเลอเรีย (RCB Galleria) ชั้น 2 ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก ซื้อบัตรได้ทาง ZipEvent เพียงคลิก https://bit.ly/2UfjVze หรือที่อาร์ซีบี แกลเลอรี ช็อป (RCB Gallery Shop) ชั้น 2 (บริเวณด้านหน้าอาร์ซีบี แกลเลอเรีย) ในราคา 350 บาท (สำหรับผู้ใหญ่)

 

ติดตามอัปเดตโปรโมชั่นและกิจกรรมต่างๆ ตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่จัดแสดงนิทรรศการได้ที่ Facebook : River City Bangkok Instagram : rivercitybangkok www.rivercitybangkok.com
โทร. 02-237-0077 ถึง 78

 

ร่วมแชร์ความประทับใจผ่านแฮชแท็ก #M2KRCB #RIVERCITYBANGKOK #FIRSTTIMEINASIA