น.พ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ แถลงข่าว 3 พ.ค.2562 ว่า ประเทศไทยจัดกัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 โดยเป็นพืชที่มีสารเคมีเป็นองค์ประกอบอยู่มากกว่า 750 ชนิด สาระสำคัญที่พบมากคือ THC และ CBD ซึ่ง THC เป็นสารที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทและมีฤทธิ์เสพติด พบมากที่ช่อดอก จากการศึกษาพบว่าในทางการแพทย์ยอมรับว่า THC เป็นสารเสพติดชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการอยากยา ถอนยาและเสพติด มีรายงานพบว่าผู้เสพติดกัญชาเมื่อหยุดใช้จะเกิดอาการถอนยา เช่น อาการนอนไม่หลับ เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย ทั้งนี้ยังมีการศึกษาถึงความเสี่ยงของการเสพกัญชากับโรคจิตเภท ซึ่งมีผลทำให้อาการทางจิตและการพยากรณ์โรคแย่ลง โดยเฉพาะคนที่มีกรรมพันธุ์ที่จะเป็นโรคจิต หรือเคยมีอาการทางจิตมาก่อนเมื่อใช้กัญชาจะทำให้เกิดอาการทางจิตได้มากขึ้น จากข้อมูลผลการศึกษา พบว่า การใช้กัญชามีประโยชน์ในทางการแพทย์ในการรักษาโรค/ภาวะของโรค อาทิ โรคลมชักที่รักษายาก อาการคลื่นไส้อาเจียนจากเคมีบำบัด ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งในผู้ป่วยปลอกประสาทเสื่อมแข็ง โรคปวดประสาทที่ดื้อต่อยารักษา เป็นต้น ดังนั้น การนำกัญชามาใช้ทางการแพทย์จึงต้องพิจารณาทั้งในด้านความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นและประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ซึ่งการนำกัญชามาใช้กับผู้ป่วยควรได้ประโยชน์หากมีความเสี่ยงต้องอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้
น.พ. สรายุทธ์ บุญชัยพานิชวัฒนา ผู้อำนวยการสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี แถลงว่า
แนวคิดการใช้กัญชาทางการแพทย์มีแนวโน้มที่จะเกิดประโยชน์ทางการแพทย์ แต่กัญชายังเป็นยาเสพติดที่ส่งผลกระทบต่อผู้เสพทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี (สบยช.) ได้ทำการศึกษาการเกิดโรคทางจิตเวชในผู้ป่วยที่ใช้กัญชาเป็นยาเสพติดหลัก ที่เข้ารับการบำบัดรักษาในสถานบำบัดรักษายาเสพติดของรัฐ 6 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่ สบยช. โรงพยาบาลธัญญารักษ์เชียงใหม่ ขอนแก่น อุดรธานี สงขลา และปัตตานี จำนวน 1,170 ราย โดยเก็บรวบรวมข้อมูลย้อนหลัง 7 ปี (ปีงบประมาณ 2553-2559 ) พบว่า ผู้ป่วยเสพติดกัญชาส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุเฉลี่ย 22 ปี โสด ไม่ประกอบอาชีพ ส่วนใหญ่ใช้กัญชาแห้งด้วยวิธีการสูบ นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ป่วยเสพติดกัญชามีการเกิดโรคจิตเวชสูงถึงร้อยละ 72.3 รองลงมาคือ โรคจิต อารมณ์แปรปรวน และวิตกกังวล ตามลำดับ แนวคิดการใช้กัญชาทางการแพทย์ หรือใช้เพื่อเป็นยา ควรเป็นไปตามหลักฐานยืนยันทางวิชาการที่ชัดเจนมีคุณภาพและเชื่อถือได้ โทษและผลกระทบของการใช้ในทางที่ผิด ควรมีระบบและแนวทางการกำหนดมาตรการควบคุมที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงความปลอดภัยและประโยชน์ของผู้ป่วยและอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง
matemnews.com
3 พฤษภาคม 2562