Home ข่าวทั่วไปรอบวัน ดีเอสไอเช็คบิล’เจ้าหนี้แสบ’แปลงเอกสารยอดกู้ฟ้องลูกหนี้ เกือบ 900 ราย มูลหนี้กว่า 20 ล้านบาท

ดีเอสไอเช็คบิล’เจ้าหนี้แสบ’แปลงเอกสารยอดกู้ฟ้องลูกหนี้ เกือบ 900 ราย มูลหนี้กว่า 20 ล้านบาท

375
0
SHARE

วันที่ 3 กรกฎาคม 2562 พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า เมื่อ (30 มิ.ย.) ที่ผ่านมา ดีเอสไอ โดยศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม สนธิกำลังร่วมกับกำลังพลศูนย์ป้องกันปราบปรามการฉ้อโกงทรัพย์สินของประชาชน นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ  สน.บางเขน เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.โคกคาม และกำลังพลกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยเขตบางกะปิ เขตลาดพร้าว กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 9 สนธิกำลัง เข้าตรวจค้นตามหมายค้นรวม 3 จุด โดยพบหลักฐานที่น่าจะเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดหลายรายการ ที่บ้านเลขที่ 171 และพบเจ้าหนี้พักอาศัยอยู่และนำตรวจค้น ดังนี้ สมุดบัญชีรายชื่อลูกหนี้ การชำระเงิน สมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร และบัตรเอทีเอ็มของลูกหนี้ สำเนาคำฟ้องที่ปรากฎชื่อเจ้าหนี้เป็นโจทก์ฟ้อง สำเนาหมายบังคับคดี เงินสดจำนวนหนึ่ง เจ้าหน้าที่รวบรวมเอกสารได้ 11 กล่อง และ 13 ถุงดำ พนักงานสอบสวน สน.บางเขน ลงบันทึกประจำวัน และส่งมอบศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการฉ้อโกงทรัพย์สินของประชาชน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินคดี

พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง กล่าวว่า กรณีดังกล่าว  ดีเอสไอ โดยศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม (ศนธ.) ได้รับคำร้องขอความช่วยเหลือและขอความเป็นธรรมจากลูกหนี้ ซึ่งกู้ยืมเงินนอกระบบจากเจ้าหนี้ย่านบางเขน โดยลงชื่อกู้เงินในสัญญาเงินกู้เปล่าและถูกเปลี่ยนแปลงยอดเงินในสัญญาเงินกู้ ไม่ตรงกับความเป็นจริง ทั้งที่ได้ชำระหนี้เป็นเงินสดให้กับเจ้าหนี้ไปครบถ้วนแล้ว แต่ไม่มีหลักฐานการชำระเงิน และเจ้าหนี้ไม่ยอมคืนสัญญาเงินกู้ให้

ต่อมาถูกเจ้าหนี้ยื่นฟ้องร้องดำเนินคดีต่อศาลเพื่อให้ชดใช้หนี้ ยึดสมุดบัญชีธนาคารและบัตรเอทีเอ็ม (บัตรกดเงินสด) ทำให้ได้รับความเดือดร้อน จึงสั่งการให้ศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ดำเนินการสืบสวนกรณีดังกล่าว ทั้งนี้สืบเนื่องจากรัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างต่อเนื่อง และกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติที่หน่วยงานต่างๆ ต้องบูรณาการความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน

เจ้าหนี้รายนี้ มีพฤติการณ์การปล่อยเงินกู้นอกระบบและเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด โดยคิดดอกเบี้ย ร้อยละ 10-20 ต่อเดือน ในพื้นที่เขตบางเขน เขตลาดพร้าว และพื้นที่ใกล้เคียง ทำมานานกว่า 10 ปี อีกทั้งยังมีพฤติกรรมเอาเปรียบลูกหนี้ ด้วยการทำสัญญากู้ยืมโดยระบุจำนวนเงินในสัญญาสูงกว่าจำนวนเงิน ที่ลูกหนี้ได้รับจริง คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 10-20 บาทต่อเดือน และจะหักค่าปากถุง 10% ของจำนวนเงินกู้ และคิดดอกเบี้ยรายวันในอัตราร้อยละ 20 บาท (ดอกลอย) คือ ทำสัญญากู้ยืมเงินจำนวนเงิน 10,000 บาท ส่งดอกเบี้ยรายวัน วันละ 200 บาท เงินต้นไม่ลดจนกว่าจะนำเงินต้นทั้งหมดมาคืนภายในคราวเดียว

และยังมีพฤติกรรมทวงหนี้โหดข่มขู่ด่าทอให้ได้รับความอับอาย รวมไปถึงการที่ ลูกหนี้ผ่อนชำระหนี้ใกล้จะหมดหรือหมดแล้ว ก็จะชวนทะเลาะและเจ้าหนี้จะนำสัญญาเงินกู้ไปฟ้องร้องต่อศาล โดยกำหนดทุนทรัพย์เต็มจำนวนตามที่ระบุในสัญญา เมื่อลูกหนี้ชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ในแต่ละครั้งนั้น เจ้าหนี้จะไม่ยอมทำเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษรให้ไว้เป็นหลักฐานการชำระหนี้แก่ลูกหนี้ หรือบางกรณีเมื่อลูกหนี้ชำระหนี้งวดสุดท้ายแล้ว

เจ้าหนี้จะให้ลูกหนี้นำเงินมาชำระที่บ้านของเจ้าหนี้และบอกให้ฉีกทำลายเอกสารการกู้ยืมเงิน แต่เมื่อลูกหนี้ได้ทำลายเอกสารสัญญาเงินกู้ เจ้าหนี้จะนำความดังกล่าวไปแจ้งความดำเนินคดีกับลูกหนี้ในข้อหาบุกรุกและทำลายเอกสารสัญญาเงินกู้ ประกอบกับแจ้งความว่า สัญญาเงินกู้หายเพื่อเป็นหลักฐานในการนำมาฟ้องร้องคดีตามสัญญาเงินกู้อีก

รายงานข่าวยังระบุอีกว่า เจ้าหนี้รายนี้ทำตัวเป็นผู้อิทธิพลในพื้นที่ มีพฤติการณ์ข่มขู่และกลั่นแกล้งลูกหนี้ อาศัยช่องว่างทางกฎหมายเป็นเครื่องมือในการเอารัดเอาเปรียบลูกหนี้ โดยลูกหนี้ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการ เช่น ทหาร ตำรวจ และครอบครัว พ่อค้าแม่ค้า และบุคคลทั่วไป เป็นโจทก์ฟ้องร้องลูกหนี้ต่อศาลจำนวนมาก ตั้งแต่ ปี พ.ศ.2552 จนถึงปัจจุบัน ประมาณ 460 คดี เป็นคดีแพ่งจำนวน 374 คดี และคดีอาญา จำนวน 86 คดี มีผู้ถูกฟ้องรวมทั้งสิ้นจำนวน 852 ราย และมีทุนทรัพย์ในการฟ้องร้องดำเนินคดีประมาณ 30,762,658 บาท มูลหนี้ตามคำพิพากษาประมาณ 24,673,492 บาท

ทั้งนี้ยังได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับพฤติการณ์ของเจ้าหนี้รายนี้ปลูกบ้านพักอาศัยรุกล้ำคลองระบายน้ำ ซึ่งเป็นคลองเชื่อมต่อกับคลองหลุมไผ่ ที่เป็นคลองสาธารณประโยชน์ บริเวณหน้ากองพันทหารช่างที่ 1 รักษาพระองค์ แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ทำให้ชาวบ้านในละแวกนั้นได้รับความเดือดร้อน ศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงได้จัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ผู้แทนศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการฉ้อโกงทรัพย์สินของประชาชน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปฉช.ตร) เจ้าหน้าที่ที่ดิน กรมธนารักษ์ กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ มณฑลทหารราบที่ 11 ในการรังวัดสอบเขตพื้นที่พิพาทต่อไป