มนุษย์ออฟฟิศนั้นเมื่อทำงาน ที่จำเป็นต้องนั่งนานๆ จ้องหน้าจอนานๆ เสี่ยงต่ออาการเจ็บป่วยได้หลากหลายผโรค นอกจากออฟฟิศซินโดรม และโรคเครียดแล้ว ยังมีอีกโรคหนึ่ง นั่นคือโรค เอ็มเอส ที่น้อยคนจะรู้จักด้วย แล้วโรคนี้มีอาการและสาเหตุมาจากอะไร คุณกำลังเข้าข่ายว่าจะเป็นหรือไม่ มาลองเช็คอาการกันเลยค่ะ
โรคเอ็มเอส คืออะไร ? เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า Multiple Sclerosis หรือโรคเอ็มเอส คือโรคที่เกิดจากการอักเสบของปลอกหุ้มเส้นประสาทในสมองและไขสันหลัง สาเหตุของการเกิดโรคยังไม่แน่ชัด จากข้อมูลพบว่าเกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน เช่น ความไม่สมดุลของภูมิคุ้มกัน การติดเชื้อไวรัสบางชนิด
แพทย์หญิงทัศนีย์ ตันติฤทธิ์ศักดิ์ รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์ สถาบันประสาทวิทยา กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคเอ็มเอส ไม่ใช่โรคติดต่อ ผู้ป่วยแต่ละคนจะแสดงอาการแตกต่างกัน บางคนเป็นหนัก บางคนแสดงอาการเป็นครั้งคราว และไม่สามารถคาดเดา การเกิดอาการได้จึงส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก
กลุ่มเสี่ยงโรคเอ็มเอส
โรคเอ็มเอส พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายและในช่วงวัยทำงาน อายุเฉลี่ยประมาณ 20-40 ปี
อาการของโรคเอ็มเอส
- มีอาการกล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง
- ตามองไม่เห็นหรือมองภาพซ้อน
- มีปัญหาเกี่ยวกับการกลืน การออกเสียง สะอึก
- ปวดแสบร้อน หรือคล้ายไฟช็อต
- การทรงตัวที่ผิดปกติ
- มีภาวะเมื่อยล้า
- มีปัญหาด้านความจำ อารมณ์ ความคิด
- มีปัญหาการควบคุมการขับถ่ายอุจจาระ และปัสสาวะ
วิธีรักษาโรคเอ็มเอส
วิธีการรักษาปัจจุบันยังไม่มีการรักษาแบบให้หายขาด แต่เป็นการรักษาเพื่อฟื้นฟูร่างกายและควบคุมอาการไม่ให้แย่ลง โดยแบ่งออกเป็น 2 วิธีคือ
- รักษาด้วยยา ตามอาการของผู้ป่วย จะเป็นยาที่บรรเทาอาการอักเสบ ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาแก้ปวด เป็นต้น
- การบำบัด โดยยึดเส้นและออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรงลดการสั่น และเพิ่มประสิทธิภาพในการทรงตัว โดยออกกำลังกายที่ไม่หนักมาก รวมทั้งยังเป็นการช่วยยืดเส้นอีกด้วย
ข้อปฏิบัติของผู้ป่วยเป็นโรคเอ็มเอส
- งดสูบบุหรี่
- ลดการดื่มแอลกอฮอล์
- ออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น เดิน ว่ายน้ำ ยืดกล้ามเนื้อ เป็นต้น
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
- รับประทานผักผลไม้ที่มีเส้นใยช่วยในการขับถ่าย
- หลีกเลี่ยงความเครียด
อย่างไรก็ตามโรคเอ็มเอส เป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ควรหมั่นสังเกตร่างกายของตนเอง หากมีความผิดปกติเกิดขึ้น ควรรีบมาพบแพทย์ทันที เพื่อจะได้รีบรักษาได้อย่างทันท่วงที
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook