“พิชัย” แนะ “บิ๊กตู่” เพิ่มเซลล์สมองแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ชี้ “สมคิด” และ “แบงก์ชาติ” ไม่เข้าใจนักธุรกิจที่ขอให้มีกำไรแพงเท่าไหร่ก็ลงทุน แนะ ควรนำแบงก์ชาติให้อยู่ภายใต้รัฐบาลเพื่อกำหนดนโยบายตรงกัน
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า การส่งออกของไทยในปี 2562 น่าจะติดลบหนัก ยิ่งเมื่อหักลบการส่งออกทองคำและการส่งคืนยุทโธปกรณ์ออกไป และหากเดือนมกราคมการส่งออกยังคงติดลบอีก การส่งออกของไทยในปี 2563 นี้ก็น่าจะมีแนวโน้มที่จะติดลบต่ออีกได้ ทั้งนี้สาเหตุมาจากอุตสาหกรรมส่งออกของไทยที่เริ่มล้าสมัยและขาดการลงทุนใหม่ๆในหลายปีที่ผ่านมา เป็นความล้มเหลวของการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล และเป็นผลของการปฏิวัติ อีกทั้งยังเป็นรัฐบาลที่สืบทอดอำนาจ ตามที่ ดร. วีระพงษ์ รามางกูร อดีต รองนายกฯ อดีต รมว. คลัง และ อดีต ประธานแบงก์ชาติได้ออกมาวิจารณ์ โดยอยากให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ที่บอกเองว่าตัวเองมีเซลล์สมองเพียง 84,000 เซลล์ แถมยังกล้าพูดว่าคนไม่สวยสมองเยอะ ได้หาทางเพิ่มเซลล์สมองของตัวเองให้เท่ากับคนปกติที่มีประมาณหนึ่งแสนล้านเซลล์ โดยเฉพาะเซลล์สมองทางด้านเศรษฐกิจ และอยากให้พลเอกประยุทธ์ได้อ่านและศึกษาบทวิจารณ์เศรษฐกิจของ ดร. วีรพงษ์นี้ ที่เหมือนกับที่ตนได้เคยเตือนและวิจารณ์มาตลอด เพื่อที่จะได้ทราบสถานการณ์ความเป็นจริงที่ย่ำแย่ของเศรษฐกิจไทย และสภาวะที่กำลังจะยิ่งเสื่อมลงไปเรื่อยๆ หากยังไม่เปลี่ยนรัฐบาล
ทั้งนี้ ทั้งนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ และ แบงก์ชาติ น่าจะมีความเข้าใจการทำธุรกิจในระดับที่ต่ำมาก โดย นายสมคิด โทษนักลงทุนไทยที่ไม่ลงทุนเป็นสาเหตุทำให้เศรษฐกิจไทยแย่ และเป็นสาเหตุของค่าบาทแข็ง อีกทั้ง แบงก์ชาติยังแก้ตัวว่าผลดีของค่าเงินบาทแข็งทำให้นำเข้าเครื่องจักรได้ในราคาถูก เท่ากับไม่เข้าใจในธรรมชาติของนักลงทุนเลยว่า ถ้านักลงทุนมั่นใจว่าลงทุนแล้วมีกำไร จำนวนเงินเท่าไหร่เขาก็กล้าลงทุน แต่ถ้ารัฐบาลไม่สามารถทำให้เขามั่นใจได้ ต่อให้เอาปืนจี้เขาก็ไม่ลงทุน เพราะถ้าลงทุนแล้วขาดทุน เขาอาจจะต้องล้มละลายและต้องฆ่าตัวตายเหมือนหลายโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นแทบทุกวันในขณะนี้
โดยที่ปัจจุบันกำลังการผลิตถูกใช้เพียง 50-60% เท่านั้น เพราะสินค้าขายไม่ออก ใครเขาจะไปลงทุนเพิ่ม ยิ่งค่าบาทแข็งทำให้สินค้าแพงขึ้น ยิ่งทำให้ขายสินค้าไม่ออก ถึงแม้เครื่องจักรถูกแสนถูก ขนาดจะให้ฟรีก็คงจะไม่เอา เพราะไม่รู้ผลิตสินค้าออกมาแล้วจะนำไปขายให้ใคร
นอกจากนี้ สัดส่วนการส่งออกและการท่องเที่ยวที่มีมากกว่า 70% ของจีดีพี ที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็ง ย่อมมากกว่าสัดส่วนค่าเครื่องจักรนำเข้ามากมายอย่างเทียบกันไม่ได้ ผลเสียมีมากกว่าผลดีมาก การแก้ตัวว่าค่าเงินบาทแข็งมีส่วนดีเพราะทำให้สามารถนำเข้าเครื่องจักรราคาถูกลง เป็นข้ออ้างที่ไม่ฉลาดและไม่สมเหตุสมผล แสดงว่าไม่เข้าใจและไม่มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจมาก่อนเลย โดยเฉพาะนายสมคิด ที่ประเทศไทยสามารถประหยัดการนำเข้าน้ำมันได้ปีละหลายแสนล้านบาทจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ลดลงมากแต่รัฐบาลกลับไม่สามารถพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ดีกว่านี้ได้
ขณะเดียวกันในหลายปีนี้ กลุ่มนักลงทุนไทยกลับกล้าขนเงินจำนวนมหาศาลกว่าสองล้านล้านบาทไปลงทุนในต่างประเทศโดยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้เพราะพวกเขามั่นใจว่าพวกเขาสามารถที่จะทำกำไรได้ ไม่ต้องด่า ไม่ต้องบังคับ พวกเขาก็ยินดีไปลงทุนเอง ทั้งที่ต้องไปลงทุนต่างบ้านต่างเมือง ถ้ารัฐบาลยังไม่เข้าใจเรื่องแค่นี้ก็ต้องนับว่าแย่แล้ว
ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการคือการฟื้นฟูความมั่นใจที่หายไปกว่า 5 ปีแล้วให้กลับมาซึ่งไม่แน่ใจว่ารัฐบาลจะทำได้ไหม เพราะเวลาผ่านมานานมากแล้วที่ความมั่นใจหดหายไป อีกทั้งการต้องหาวิธีทำให้เงินบาทอ่อนค่าลง และควรต้องปรับเปลี่ยนแนวทางให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องเข้ามาอยู่ภายใต้การบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลตามแนวคิดของ ดร. วีรพงษ์ อดีตประธานแบงก์ชาติ เพื่อกำหนดทิศทางเศรษฐกิจได้ตรงกัน เพราะความเป็นอิสระของแบงก์ชาติที่ผ่านมาไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้นเลย แต่กลับทำให้แย่ลงมาโดยตลอด
อ่าน ดร.โกร่ง
https://www.voicetv.co.th/read/0v77JXDts
matemnews.com
21 มกราคม 2563