Home ข่าวทั่วไปรอบวัน คนที่ถูก คสช.เรียกปรับทัศนคติมากสุด

คนที่ถูก คสช.เรียกปรับทัศนคติมากสุด

851
0
SHARE

คนที่ถูก คสช.เรียกปรับทัศนคติมากสุด

………………………………..

พิชัย นริพทะพันธุ์

อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จากนักเศรษฐศาสตร์สู่เส้นทางนักการเมือง

หากจะว่าถึงสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน ก็อาจกล่าวได้ว่ารัฐบาลถึงจะมีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร แต่ก็ใช่ว่าจะมากจนทำให้สถานการณ์นิ่ง ประเด็นร้อนแรงกระแทกการทำงานของรัฐบาลก็ยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะต่อปัญหาด้านเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ติดตามการเมืองมาอย่างต่อเนื่องคงจะทราบและพบเห็นกันมาอย่างดีว่า จะมีบุคคลผู้หนึ่งที่มักจะออกมาสะท้อนและชี้ผลของการดำเนินนโยบายของรัฐบาลด้านเศรษฐกิจให้สังคมแลเห็นในทุกระยะเช่นกัน ซึ่งบุคคลผู้นั้นก็คือ พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และยังเป็นอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาล สมัคร สุนทรเวช และคณะทำงานทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย

พิชัย นริพทะพันธุ์ เคยเป็นหนึ่งในคณะทำงานทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย ก่อนจะย้ายมาสังกัดพรรคไทยรักษาชาติ เมื่อครั้งการเลือกตั้งใหญ่ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ชื่อของ พิชัย นริพทะพันธุ์ ไม่เพียงเพราะจะมีตำแหน่งที่สำคัญในด้านเศรษฐกิจที่ผ่านมาเท่านั้น แต่ชื่อของเขายังเป็นหนึ่งในผู้ที่ออกมาวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลในยุค คสช. หรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. อยู่บ่อยครั้ง จนเป็นผู้หนึ่งที่ถูกเรียกปรับทัศนคติมากในอันดับต้นๆ ด้วย ฉบับนี้ อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก จึงจะขอนำท่านผู้อ่านมารู้จักกับบุคคลผู้นี้เป็นใครมาจากไหน

พิชัย นริพทะพันธุ์ หรือ “พี่แดง”         เป็นบุตรคนที่ 3 ในจำนวนพี่น้อง 4 คนซึ่ง “พี่แดง”ย้อนอดีตให้ฟังว่า ตอนเด็กๆ เป็นเด็กเรียบร้อย เชื่อฟังพ่อแม่ ไม่ดื้อ ซนบ้างนิดหน่อย พ่อแม่บอกอะไรก็จะทำหมด จบมัธยมที่โรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก เป็นคนเรียนหนังสือดีได้รางวัลทุกปี เช่น ตอนอยู่มัธยมศึกษาปีที่ 2 ก็สอบเทียบมัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้ และตอนอยู่มัธยมศึกษาปีที่ 4 ก็สอบเทียบมัธยมศึกษาปีที่ 5 ได้เป็นประธานชมรมภาษาอังกฤษของโรงเรียนเพราะสอบได้ที่ 1 ในวิชาภาษาอังกฤษจนได้รางวัล และจัดแข่งขันการตอบปัญหาภาษาอังกฤษให้นักเรียนชั้นต่างๆ

“พี่แดง” เล่าว่าเป็นคนมีเพื่อนฝูงมาก เพื่อนฝูงมักจะมาที่บ้านเสมอ เพราะที่บ้านมีสระว่ายน้ำ สนามฟุตบอล และโต๊ะสนุ้กในบ้าน เพื่อนๆก็จะมาเล่นกันที่บ้านสนุกสนาน โดยในช่วงมัธยมปลายตั้งใจจะเรียนเป็นคุณหมอเพราะพี่ชายและน้าชายสอบเข้าหมอได้ เลยตั้งใจเรียนเพราะที่เรียนส่วนใหญ่ก็จะได้เกรด เอ ทั้งชีวะ เคมี ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ แต่คุณพ่ออยากให้มีคนทำธุรกิจที่บ้าน จึงต้องเปลี่ยนแนวมาเรียนเศรษฐศาสตร์โดยเลือกเศรษฐศาสตร์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นอันดับแรก โดยเข้าเรียนในช่วงที่อาจารย์โกร่ง ดร.วีรพงษ์ รามางกูร เป็นคณบดี จึงได้รับความรู้และอิทธิพลทางความคิดจาก ดร.โกร่ง นับตั้งแต่นั้นมา

“ช่วงเรียนเศรษฐศาสตร์จุฬาฯ ต้องช่วยทำงานธุรกิจที่บ้านด้วย คุณพ่อคุณแม่จึงซื้อรถเบนซ์สปอร์ตให้ขับไปมหาวิทยาลัย ซึ่งสมัยนั้นเศรษฐกิจไทยยังไม่ดีนัก จึงทำให้เป็นที่รู้จักของนิสิตในช่วงนั้น แต่พอเรียนมหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 3 คุรพ่อเสียชีวิตจากโรคเส้นโลหิตในสมองที่สหรัฐอเมริกา จึงต้องเข้ามาช่วยทำงานที่บ้านเต็มตัว โดยต้องเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย แต่ก็สามารถจบเศรษฐศาสตร์จุฬาฯ ได้ในเวลา 3 ปีครึ่ง เพราะลงวิชาเรียนมากมาตลอดตั้งแต่ปี 1 เหมือนกับจะรู้ว่าต้องรีบมาทำงาน” พี่แดงกล่าวกับ อปท.นิวส์ พร้อมเล่าต่อไปว่า

หลังจากจบเศรษฐศาสตร์จุฬาฯ ก็ได้ไปศึกษาต่อวิชาอัญมณีศาสตร์ที่สหรัฐฯโดยสอบวิชาเรื่องเพชรได้ 99% และทำธุรกิจของครอบครัว โดยต้องบินไปมาระหว่างไทยสหรัฐฯ และยุโรป โดยเฉพาะในสหรัฐฯใช้เวลาอยู่ในสหรัฐฯปีละ 3-5 เดือน นานถึง 28 ปีติดต่อกัน เนื่องจากในอดีตปีหนึ่งอยู่ต่างประเทศพอๆ กับอยู่ประเทศไทยจึงได้รับความรู้ อิทธิพลทางความคิด ทางด้านสิทธิและเสรีภาพของสหรัฐฯ

ช่วงที่ทำงานได้หาเวลาไปสอบเข้าและเรียนปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจในโครงการ Executive MBA ของคณะพาณิชศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ โดยเมื่อจบสามารถสอบได้ที่ 1 ในการสอบ Comprehensive ที่ต้องเอาความรู้ของวิชาที่เรียนทั้งหมดมาอธิบายรวมกันเพื่อแสดงความรู้ความเข้าใจ

นอกจากทำธุรกิจอัญมณีของครอบครัวแล้ว ยังได้ทำธุรกิจพัฒนาที่ดิน ธุรกิจโรงแรมและท่องเที่ยว ธุรกิจเทรดดิ้ง ธุรกิจโทรคม และธุรกิจเทคโนโลยี การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ และได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ก่อนที่จะเข้ามาสู่การเมือง

“พี่แดง” เล่าให้ฟังด้วยว่า การเข้าสู่การเมืองเป็นความบังเอิญ เป็นจังหวะชีวิตมากกว่า แต่ก็เป็นคนชอบการเมืองและติดตามข่าวสารทางการเมืองมาโดยตลอด โดยเฉพาะเมื่อสมัยเด็ก อดีตนายกรัฐมนตรี ชวน หลีกภัย สนิทกับคุณพ่อ เลยมีโอกาสพบนายกฯ ชวน อยู่เสมอ เป็นแรงจูงใจให้เข้าสู่การเมือง แต่พอคุณพ่อเสียชีวิต จึงต้องมารับผิดชอบกับธุรกิจคอบครัว ความใฝ่ฝันทางการเมืองจึงต้องถูกแขวนไว้ จนกระทั่งมีลูกชายคือ พชรนริพทะพันธุ์ ซึ่งก็ชอบการเมืองจึงส่งให้ไปติดตามคุณสุวิทย์ คุณกิตติ อดีตรองนายกฯ และ รมต.หลายสมัย โดยมีตัวเขาสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง

อย่างไรก็ตาม จับผลัดจับผลูเลยได้เข้ามาสู่การเมือง โดยได้รับเชิญให้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังครั้งแรกในปี 2551 สมัยรัฐบาลพลังประชาชน ที่มี สมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็รู้สึกสนุกดี เพราะเหมือนตัวเราสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ได้ เลยตัดสินใจอยู่การเมืองต่อมา จนได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานสมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่มี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี จนเกิดการปฏิวัติรัฐประหาร

“ก็ยังมีแนวความคิดอยากเห็นประเทศพัฒนา และเสนอความคิดเห็นตลอด จนถูกเรียกตัว 12 ครั้ง เป็นการเรียกปรับทัศนคติ 8 หน และเรียกดำเนินคดี 4 ครั้ง แต่ก็ไม่ได้ท้อ เพราะเชื่อว่า สิ่งที่ได้เสนอความคิดเห็นเป็นประโยชน์กับประเทศอย่างแท้จริง และสิ่งที่ได้เตือนเรื่องเศรษฐกิจไทยจะย่ำแย่ จนเกิดภาวะตามทฤษฏีกบต้ม ก็เป็นจริงอย่างที่ได้เตือนไว้”

สำหรับชีวิตครอบครัว “พี่แดง” เล่าให้ฟังว่ามีความสะดวกสบายพอสมควร อาศัยอยูที่บ้านซึ่งอยู่ด้านหลังศูนย์การค้าสยามพารากอน สามารถเดินไปสยามพารากอนได้ มีลูกชาย 3 คน ลูกชายคนโตแต่งงานแล้วมีลูก 4 คน ผมเลยเป็นคุณปู่ของหลานชาย 2 คน หลานสาว 2 คน ทุกวันถ้าไม่มีนัดทานข้าวข้างนอกก็จะทานข้าวเย็นกับคุณแม่ทุกวัน โดยดูแลคุณแม่มาตลอดหลังจากที่คุณพ่อได้เสียชีวิตมากว่า 30 ปีแล้ว

ส่วนเวลาว่างไลฟ์สไตล์ก็จะเป็นชีวิตง่ายๆ มีโอกาสก็ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูงบ้าง อ่านหนังสือและท่องเว็บเพื่อหาความรู้ เพื่อให้ทันการเปลี่ยนแปลงของโลกทางเทคโนโลยีและข้อมูลทางเศรษฐกิจ เวลาว่างจะออกกำลังกายขึ้นเครื่องออกกำลังกายทุกวัน วันละประมาณ 45 นาที บางวันก็ว่ายน้ำและเอ็กเซอร์ไซส์ในน้ำในสระว่ายน้ำที่บ้าน เล่นกีฬากับลูก และเล่นกับหลานๆด้วย ซึ่งหากมีสถานศึกษาใดเชิญไปสอนหนังสือก็จะพยายามไป เพราะเชื่อว่าการให้ความรู้ และแลกเปลี่ยนความเห็นกับคนรุ่นใหม่เป็นสิ่งจำเป็น และอยากให้คนรุ่นใหม่มีหลักคิดที่ดีและเปิดกว้างเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ

นอกจากนี้ จะสวดมนต์เช้าเย็น นั่งวิปัสสนาตอนเช้าทุกวัน เพื่อทำจิตใจให้สงบ มีสติเกิดปัญญาตามหลักพุทธศาสนา เนื่องจากมีข้อคิดในการดำเนินชีวิตด้วยการทำทุกวันให้ดีที่สุด รักในสิ่งที่ทำ และอย่าไปเสียใจกับสิ่งที่แก้ไขอะไรไม่ได้ จะสอนลูกเสมอว่าพ่อขอ 3 อย่าง

  1. เป็นคนดี (หมายความว่าเป็นคนดีจริงๆ ไม่ใช่ ที่อ้างกันว่าเป็นคนดี) ช่วยใครได้ก็ช่วย อย่าไปทำให้ใครเดือนร้อน ทำจิตใจให้ดีมีเมตตากรุณา มุทิตา และอุเบกขา โดยดูจากเพื่อนรอบตัวเองเป็นตัวอย่าง เพื่อนคนไหนเป็นคนดีมีศีลธรรม มีจิตใจดี ช่วยเหลือคนที่ลำบาก ชีวิตเขาจะมีความสุข มีเรื่องร้ายก็จะมีคนหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้ามาช่วยเหลือเสมอ
  2. ทำตัวเองให้มีความสุข อะไรทุกข์ก็อย่าไปเครียด เดี๋ยวมันก็ผ่านไป พยายามหาความสุขใส่ตัวเองมากๆ แต่ต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่นและ
  3. มีเป้าหมายในชีวิต ต้องวางแผนในชีวิตว่าอยากเป็นอะไร และต้องพยายามฝันให้ไกลและไปให้ถึง ถึงในที่สุดแล้วไปไม่ถึง แต่อย่างน้อยก็ต้องได้สิ่งดีๆกลับมา

………………………………………………..

เผยแพร่โดย อปท.นิวส์

 

matemnews.com 

18 กุมภาพันธ์ 2563