“พิชัย” ติง “ผู้นำโง่เขลา” คนจนพุ่งเพิ่มขึ้น 36 % ผู้นำไม่รู้เรื่องแต่ไม่รับฟังแถมยังโกหก ชี้ นักศึกษาทำแฟลชม๊อบคือการโดดออกจากหม้อต้มกบ แนะ ความเก่งสอนกันไม่ได้ต้องหาคนเก่งมาบริหารแทน
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวในงานเสวนา “ทางออกของพล.อ.ประยุทธ์ ในยุคประชาลำเค็ญ” จัดโดย สภาที่ 3 ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ว่า ปัจจุบัน ประชาแสนลำเค็ญ ประชาชนลำบากกันอย่างแสนสาหัส ซึ่งเป็นผลจากการบริหารเศรษฐกิจที่ผิดพลาดของรัฐบาลตลอด 5 ปี และยังมาเจอกับวิกฤตไวรัสโควิด-19 มาซ้ำเติมทำให้เศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่แล้วยิ่งปักหัวดิ่งลง ทั้งนี้ความผิดพลาดในอดีตของรัฐบาลยืนยันได้จากรายงานของเวิลด์แบงค์ล่าสุดที่บอกว่าคนจนในประเทศไทยลดลงมาตลอด 30 ปี แต่ในช่วงปี 2558-2561 ที่เป็นช่วงของการปฏิวัติคนจนของไทยกลับเพิ่มขึ้นถึง 36 % จาก 7.21% เป็น 9.85% หรือเพิ่มจาก 4.85 ล้าน เป็น 6.7 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 2 ล้านคน ซึ่งแปลว่ารัฐบาลทำให้คนจนเพิ่มขึ้นแทนที่จะลดลง นอกจากนี้ เวิลด์แบงค์ยังบอกว่านอกจาก คนจนเพิ่มแล้ว เศรษฐกิจไทยยังโตช้า และ คนไทยรายได้ลด
ทั้งนี้ สาเหตุหลักน่ามาจากผู้นำและรัฐบาลขาดความรู้ความสามารถ ถึงขนาดที่ต้องใช้คำว่า “โง่เขลา” ตามที่ ดร. วีรพงษ์ รามางกูร อดีต รองนายกฯ อดีต รมว. คลัง อดีต ประธานแบงก์ชาติ เพิ่งได้ปาฐกถาไว้ และยืนยันโดย ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล อดีต รองนายกฯ ของพลเอกประยุทธ์เองที่บอกว่าพลเอกประยุทธ์ไม่มีความรู้เพียงพอในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และไม่ฟังคนที่รู้ อีกทั้ง นิสิต นักศึกษา ที่แห่กันติดแฮชแท็ก #ผนงรจตกม = ผู้นำโง่เราจะตายกันหมด
นอกจากที่จะไม่มีความรู้แล้วยังปิดกั้นการรับรู้ ทั้งที่ตนได้เตือนมาตลอดว่าเศรษฐกิจไทยจะย่ำแย่ แต่แทนที่จะรับฟังและปรับปรุงกลับเรียกตนไปปรับทัศนคติ 8 หน โดยมีหลักฐานเป็นคลิปพลเอกประยุทธ์ที่เคยพูดไว้เองหลายครั้ง แถมยังโกหกในสภาว่ามีความอดทนต่อการวิจารณ์และมีเมตตา แต่กลับจับตนคลุมหัวปิดตาและพาไปกักตัวไว้ถึง 7 วันในการเรียกตัวครั้งที่ 7 อีกทั้งยังส่งคนดำเนินคดีกับตนแบบมั่วๆในเรื่องปกนิตยสารไทม์ และ การดูด สส 4.0 จนกระทั่งสำนักอัยการสั่งไม่ฟ้อง เพียงเพราะตนเตือนและวิจารณ์เศรษฐกิจที่พิสูจน์แล้วว่าย่ำแย่จริง และยังมีคดีทฤษฎีกบต้มที่ค้างอยู่ ตนได้เคยเตือนไว้ จนเป็นที่ขบขันกันทั่วโลกว่าผู้นำไทยไม่รู้เรื่องทฏษฏีนี้ว่ามีอยู่จริง และในขณะนี้ ภาวะกบต้มก็เป็นจริงขึ้นเรื่อยๆ ที่ประชาชนเริ่มเดือดร้อนกันมากเหมือนในภาวะน้ำเดือดในหม้อต้มกบ
แม้กระทั่ง ดร. วีรพงษ์ ที่มีประวัติการทำคุณประโยชน์ให้ประเทศไทยอย่างมหาศาลตั้งแต่ในอดีต สมัยรัฐบาลพลเอกเปรม ที่ได้ ออกมาเตือนและวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งพลเอกประยุทธ์ นายสมคิด และ ผู้ว่าฯแบงค์ชาติ ตามความเป็นจริงที่เห็นกันอยู่ แต่รัฐบาลกลับปิดกั้นการรับรู้ แถมยังส่งคนของรัฐบาลที่ไม่มีต้นทุนทางสังคม ทั้ง โฆษกพรรค และโฆษกรัฐบาล ออกมาตอบโต้แบบไร้สาระ สะเปะสะปะ และไม่ทำการบ้าน ยิ่งแสดงความโง่เขลาของรัฐบาลให้ปรากฏมากยิ่งขึ้น ซึ่งถ้ารัฐบาลนึ้มีคนดีและเก่งอย่าง ดร. วีรพงษ์ ทำให้พลเอกเปรม เศรษฐกิจไทยคงไม่ย่ำแย่ขนาดนี้
แม้กระทั่งปัจจุบันรัฐบาลก็ยังสับสนคิดได้เพียงการแจกเงิน และในขณะที่จะแจกเงินเป็นแสนล้านบาทเพื่อบรรเทาผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 แต่กลับเปิดรับให้เงินบริจาคจากประชาชนเพื่อรับมือไวรัสโควิด-19 ย้อนแย้งกันอย่างชัดเจน อีกทั้งการรับมือวิกฤตไวรัสโควิด-19 ก็ยังสะเปะสะปะตลอดมาตั้งแต่เริ่มมีการระบาด
ดังนั้น การที่ นิสิต นักศึกษา และ นักเรียน จำนวนมากเกือบทั่วประเทศ ได้ออกมาชุมนุมกัน ในลักษณะ แฟลชม็อบ จึงเป็นความพยายามที่จะกระโดดออกจากหม้อต้มกบที่กำลังจะเดือด เพื่อปกป้องและรักษาอนาคตของตนและของประเทศไว้ ทั้งนี้ก็เพราะหากปล่อยให้ผู้นำที่โง่เขลาบริหารประเทศต่อไปพวกเขาคงจะถูกต้มสุกตายกันหมด หรือไม่ ประเทศไทยก็เปลี่ยนไปเป็นพม่า 2 ที่เป็นยุคที่พม่าถูกทหารปกครองอยู่หลายสิบปีที่ไม่มีความเจริญ ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นประเทศเมียนมาร์ในปัจจุบัน
ความฉลาด และ ความเก่ง ของผู้นำไม่สามารถจะสอนหรือไม่สามารถจะเปลี่ยนกันได้ จะเปลี่ยนจากผู้นำที่โง่เขลามาเป็นผู้นำที่เก่งและฉลาดก็คงเป็นไปไม่ได้ และ ไม่เคยเกิดขึ้น ดังนั้น ในภาวะที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทางออกที่ดีที่สุดคือต้องหาผู้นำที่เก่งและฉลาดมานำประเทศไทยเพื่อให้ก้าวหน้าและแข่งขันกับประเทศอื่นได้ มาทดแทนผู้นำที่โง่เชลาในปัจจุบัน จึงจะเป็นทางออกของคนทั้งชาติ
matemnews.com
7 มีนาคม 2563