“คริส เฮมสเวิร์ธ” เปิดใจตอนที่ต้องแต่งชุดเก่งกลับมาศึกหนักบทบาทของ”ธอร์”ในภาพยนตร์โดยมาร์เวล สตูดิโอส์เรื่อง “Thor: Ragnarok – ศึกอวสานเทพเจ้า
” อีกครั้ง เขาก็ตื่นเต้นกับทิศทางที่ธอร์ต้องมุ่งหน้าไปในเรื่องราวภาคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาคนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงตัวละครที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และมีการเปลี่ยนแปลงโทนในการเล่าเรื่องอย่างชัดเจน เลยส่งผลต่อการแสดงของผมครับ” เฮมสเวิร์ธกล่าว
“ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นด้วยวิสัยทัศน์ของผู้กำกับ “ไทก้า ไวทีติ” รวมถึงอารมณ์ขัน ทัศนคติและความต้องการจะสำรวจของเขา การทำในสิ่งที่แตกต่างก็สอดคล้องกับสิ่งที่ผมต้องการทำในหนังเรื่องนี้และสิ่งที่สตูดิโอต้องการจะทำพอดี เควิน ไฟกีและทีมงานที่มาร์เวลต้องการจะดูว่าเราสามารถนำพามันไปที่ไหนได้บ้าง และนี่ก็เป็นหนึ่งในกองถ่ายที่สนุกสนานและน่าตื่นเต้นที่สุดเท่าที่ผมเคยทำงานด้วยเลยล่ะครับ”
เฮมสเวิร์ธให้คำนิยามถึงคำว่า แร็คนาร็อก และความหมายของมันในแง่ของเรื่องราวนี้ว่า “แร็คนาร็อกคืออวสานของทุกสิ่ง เป็นอวสานของจักรวาล เป็นการจบสิ้นของชีวิตอย่างที่เรารู้จัก แร็คนาร็อกในหนังเรื่องนี้ถูกใช้กับแอสการ์ดและมีการแข่งขันกับเวลาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแร็คนาร็อกและเพื่อปกป้องแอสการ์ดไว้ครับ”
เฮมสเวิร์ธให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานะของธอร์ในตอนเริ่มต้นเรื่องว่า “ในตอนเริ่มต้น ผมพบว่าธอร์กำลังอยู่ระหว่างการเดินทางเพื่อค้นหาตัวเอง เขามาจากแอสการ์ด แต่เขาปฏิเสธการเป็นราชันย์และใช้ชีวิตอยู่บนโลก แต่เขาก็ไม่ได้เป็นคนจากโลก เขาก็เลยไม่ค่อยเหมาะกับที่นั่นซักเท่าไหร่ เขาก็เลยออกเดินทางเพื่อหาคำตอบ ระหว่างทาง เขาได้ค้นพบความโกลาหลวุ่นวายสารพัดในดินแดนต่างๆ และเหล่าวายร้ายที่ถูกปลดปล่อยออกมา ไม่มีใครหยุดยั้งวายร้ายเหล่านั้น เขาก็เลยกลับบ้านเพื่อถามบิดาของเขาว่าเกิดอะไรขึ้นและทำไมถึงไม่มีใครจัดการเรื่องพวกนี้ อย่างที่เรารู้จากภาคที่แล้ว บิดาของเขาอาจจะไม่ใช่บิดาของเขาก็ได้ บางที เขาอาจเป็นโลกิที่ใช้ภาพมายาบางอย่าง เราก็เลยสนุกกับเรื่องนั้น แล้วทุกอย่างก็เริ่มต้นจากจุดนั้นไปสู่เรื่องราวส่วนที่เหลือครับ”
ธอร์ต้องทนต่อการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในเรื่อง ตามที่เฮมสเวิร์ธอธิบายว่า “มีความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพบางอย่างเกิดขึ้นกับตัวละครตัวนี้ในภาคนี้ อย่างแรกเลยคือผมเขาหายไป เขาอยู่ในโลกกลาดิเอเตอร์ ที่ซึ่งกระบวนการอย่างหนึ่งของพวกเขาคือการหั่นผมทิ้ง ซึ่งเกิดขึ้นนอกจอครับ แล้วเขาก็ปรากฏตัวขึ้นโดยที่ผมของเขาถูกเฉือนทิ้งไปแล้ว มันทำให้ผมมีทัศนคติที่เปลี่ยนไป ชุดที่เปลี่ยนไป อาวุธที่เปลี่ยนไป ทีมนักแสดงที่เปลี่ยนไป ทำให้คุณมีพลังงานที่เปลี่ยนไปจากเดิม นอกจากนั้น อะไรที่เรียบง่ายอย่างแค่การมีทรงผมที่เปลี่ยนไปก็ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของคุณด้วยครับ”
“แล้วเขาก็สูญเสียค้อนของตัวเองด้วย มันถูกทำลายโดยเฮล่า ตัวร้ายในหนังภาคนี้ มันบีบให้เขาต้องตั้งคำถามกับทุกสิ่ง รวมถึงพละกำลังของตัวเอง ประวัติความเป็นมาและความหลังของเขา และส่งให้เขาไปสู่การเดินทางที่แตกต่างไปจากเดิม มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเปลือยเขาทั้งทางร่างกายและอารมณ์ เพื่อสร้างเขาขึ้นมาใหม่ หรือทำให้เขาได้ค้นพบอะไรบางอย่างใหม่อีกครั้ง มันก็เลยเป็นวิธียอดเยี่ยมที่จะกะเทาะเปลือกเขาครับ” นักแสดงหนุ่มกล่าวสรุป
ธอร์ต้องเจอกับความท้าทายหลายอย่างตอนที่เขาไปถึงดาวซาคาร์ ตามที่เฮมสเวิร์ธอธิบายว่า “ธอร์มาจากโลกที่เขาเป็นตัวละครที่ทรงพลัง แข็งแกร่งและมีความสามารถสูงสุด จากนั้น เขากลับถูกส่งไปอยู่ดาวซาคาร์ ที่ซึ่งไม่มีใครสนว่าเขาเป็นเจ้าชายแห่งแอสการ์ด ดังนั้น มันก็เลยไม่ได้ช่วยให้เขามีอำนาจหรือคุณค่าใดๆ เลย พลังของเขาถูกลดลงไปเพราะวงแหวนควบคุมที่ติดอยู่กับตัวเขา ตอนนี้ เขามีพลังเท่ากับคนอื่นแล้ว เขาไม่ได้อยู่เหนือชาวเมืองปกติเลย ซึ่งนั่นเป็นวิธีการที่ชาญฉลาดมากๆ ในการยึดพลังของเขาและทำให้เขาเป็นตัวละครที่เข้าถึงได้น่ะครับ”
นักแสดงหนุ่มกล่าวต่ออีกว่า “ธอร์เป็นเหมือนนักโทษบนดาวซาคาร์ และแกรนด์มาสเตอร์ก็ยื่นข้อเสนอที่จะมอบอิสรภาพให้กับเขา ถ้าเขาลงชิงชัยในการประลองแบบกลาดิเอเตอร์และคว่ำแชมเปี้ยนของการประลอง ผู้ถูกมองว่าเป็นนักรบผู้ไร้เทียมทานลงได้ ธอร์ตกลงแต่เขาไม่รู้หรอกว่าคู่ต่อสู้เขาเป็นใครหรืออะไร จนกระทั่งเขาลงไปในสนามประลองและเจอกับฮัลค์ที่กระโจนออกมา ตอนแรก ธอร์คิดว่าเขาสบายแล้วเพราะฮัลค์เป็นคู่หูของเขา แต่ฮัลค์รู้ตัวเพียงแค่ชั่วพริบตา ก่อนที่เขาจะกลับไปคลั่งเหมือนเดิม พวกเขาสู้กันได้พักหนึ่งและอัดกันซะน่วมเลยครับ”
เฮมสเวิร์ธพูดถึงฮัลค์โฉมใหม่ที่แตกต่างออกไป ที่ปรากฏตัวในภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า “ฮัลค์พูดเยอะกว่าที่เราเคยเห็นเขามาก่อน ซึ่งก็เยี่ยมมากเพราะมันทำให้เขาเข้าถึงได้มากขึ้นและทำให้คุณเห็นใจกับสิ่งที่เขาต้องเผชิญ แล้วคุณก็จะได้เห็นว่ามันมีพื้นที่กว้างขวางมากขึ้นสำหรับความสัมพันธ์ สายสัมพันธ์และมิตรภาพที่จะผลิบานขึ้นระหว่างเขาและธอร์ พวกเขาก็กลายเป็นเหมือนเพื่อนร่วมห้อง ที่ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับกันและกัน และมีการโต้เถียง ทะเลาะเบาะแว้ง การแตกหักเหมือนเพื่อนทั่วๆ ไปที่แล้วก็กลับมาคืนดีกันเหมือนเดิม ดังนั้น การได้แสดงอะไรแบบนั้นก็เยี่ยมมากครับ”
ความสัมพันธ์ระหว่างธอร์และโลกิก็พัฒนาไปอีกระดับเช่นกัน และเฮมสเวิร์ธก็ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “ธอร์ให้โอกาสครั้งที่สองกับโลกิเสมอและไว้วางใจเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ในภาคนี้ มันไม่เหมือนกันครับ เขายอมรับในสิ่งที่โลกิเป็นและปล่อยเขาแบบนั้น บางที มันอาจเกิดจากความพยายามที่ชาญฉลาดมากขึ้นในการดึงเขากลับมา หรือบางที ธอร์อาจจะหมดทางเลือกและไอเดียที่จะดึงเขากลับมาก็ได้”
“และดูเหมือนว่าครั้งนี้ มันจะกระทบใจโลกิ ใครจะรู้ล่ะครับว่านานแค่ไหน ผมคิดว่าในตัวโลกิก็มีความดีอยู่บ้าง แต่เขามีมุมมองที่บิดเบี้ยวและมีความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของของตำแหน่งแห่งที่ที่เขาควรจะอยู่และสิ่งที่เขาควรจะได้รับ แต่มันก็สนุกดีที่ได้ถ่ายทอดความเปลี่ยนแปลงในทัศนคติของธอร์และทำในสิ่งที่ต่างไปจากเดิมแต่เราก็ยังมีช่วงเวลาแบบพี่น้องกันที่ยอดเยี่ยมท่ามกลางทัศนคตินั้นครับ” นักแสดงหนุ่มกล่าวสรุป
ในตอนที่เคท บลันเชตต์ เข้าร่วมทีมนักแสดงในบทของผู้ร้าย เฮมสเวิร์ธ “ตื่นเต้นมากที่ได้เห็นสิ่งที่เธอจะทำกับเฮล่าครับ” “ผมก็มีไอเดียอยู่บ้างว่าเธอน่าจะทำอะไร แต่ผมก็อึ้งกับผลลัพธ์ที่ออกมาจริงๆ” เฮมสเวิร์ธให้ความเห็น “เธอมีทัศนคติหรือลุคแบบเสียสติหลุดโลกและมีการเคลื่อนไหวที่เป็นเอกลักษณ์ บางครั้ง คุณจะพบว่าตัวเองเห็นใจเฮล่า ก่อนที่คุณจะจำได้ว่า เธอเป็นคนที่สังหารผู้คนและทำลายทุกสิ่ง ความขัดแย้งในใจผู้ชมแบบนั้นทำให้หนังเรื่องนี้น่าสนใจยิ่งขึ้นและทำให้มันเป็นการเดินทางที่น่าดูชมยิ่งขึ้นด้วยครับ”
อีกหนึ่งตัวละครใหม่ที่ธอร์มีปฏิสัมพันธ์ด้วยคือวัลคีรี ที่รับบทโดยเทสซ่า ธอมป์สัน “วัลคีรีเป็นนักรบที่เก่งกาจที่สุดของแอสการ์ด และตอนนี้ หนึ่งในวัลคีรีก็ใช้ชีวิตอยู่บนดาวซาคาร์ ในฐานะนักล่าค่าหัว” เฮมสเวิร์ธอธิบาย “เธอจับธอร์ได้และขายเขาให้ไปสู้ในลานประลองกลาดิเอเตอร์ วัลคีรีทิ้งแอสการ์ดและทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเธอที่นั่นไว้ข้างหลัง เธอฝังความทรงจำนั้นและใช้ชีวิตที่แตกต่างจากเดิม”
เขากล่าวต่ออีกว่า “ในตอนแรก ธอร์ไม่รู้หรอกว่าเธอคือใคร แต่เมื่อเขารู้ตัวตนของเธอ เขาก็เหมือนกับจะบูชาเธอนิดๆ วัลคีรีเป็นคนสวยและเป็นนักรบที่เหลือเชื่อ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมีเสน่ห์มากๆ สำหรับธอร์ครับ”
ความสนุกอย่างหนึ่งสำหรับเฮมสเวิร์ธในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้คือโอกาสในการได้พบกับนักแสดงที่เขาร่วมแสดงด้วยใน “Thor” ภาคแรก “มันทำให้คุณตื่นเต้นมากเพราะทอม, ไอดริสและผมแสดงใน ‘Thor’ ภาคแรก ตอนที่เราเพิ่งเริ่มเข้าวงการมาใหม่ๆ” เฮมสเวิร์ธกล่าว “แล้วคุณก็ได้ร่วมงานกับนักแสดงอย่างแอนโธนี ฮ็อปกินส์ ผู้มีผลงานมากมาย และก็รู้สึกตื่นเต้นพอๆ กับเรา เรารู้สึกว่ามีพลังงานจริงๆ ในหนังพวกนี้ ที่ผู้คนจะรู้สึกได้ว่าพวกเขากำลังสร้างในสิ่งที่ไม่เหมือนใคร และได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกภาพยนตร์มาร์เวลครับ”