……………………………………
มีโอกาสเดินทางไปวัดมาหลายแห่งในช่วงที่ผ่านมา ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่เดินทางมาวัดในวันสำคัญทางศาสนา เพื่อมาทำบุญ ถวายสังฆทาน มาบวชเป็นเนกขัมมะเพื่อปฏิบัติธรรม
ได้มีโอกาสพบกับพระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นพระธรรมดาแต่ทว่าเมื่อแลกเปลี่ยนทัศนะคติกันแล้วดูเหมือนว่าท่านไม่ธรรมดาในแนวคิด พระภิกษุ พันเทพ เทวกุโล วัดศิริพงษ์ธรรมนิมิต ท่านถามว่า คนเรามาวัดทำไมกัน.. ตอบท่านว่า หลายคนคงปรารถนาบุญจึงได้เข้าวัดมาฟังธรรมปฏิบัติธรรม
ท่านว่า “ทำไมจึงคิดว่าทำแบบนั้นแล้วได้บุญ”
เป็นความเชื่อที่ส่งต่อมากันมา เป็นสิ่งที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ทำให้คนในครอบครัวที่เป็นพุทธได้ร่วมกันทำกิจกรรมทางศาสนา แต่เรื่องบุญกุศลเป็นความเชื่อ
“การเชื่อตามความเป็นจริงกับการเชื่อที่เกิดจากมโนต่างกันนะโยม”
อะไรคือสิ่งที่ท่านกล่าวว่าเป็นมโน แน่ล่ะครับมนุษย์ชอบมโน พระพันเทพได้เมตตาอธิบายว่า..
มโน แปลว่าใจ แต่ทางโลกเอาคำว่ามโนไปใช้ในลักษณะตำหนิบุคคลที่ทำอะไรชอบคิดเอาเอง คิดไปเอง แบบนี้ใช่ไหมโยม..ดังนั้นการที่ถามไปว่า ความจริงกับการเชื่อแบบมโนที่อาตมากล่าวในที่นี้จึงหมายถึง การคิดเอาเอง
การทำบุญสร้างกุศล ความจริงแล้วทุกสรรพสิ่งจะต้องสร้างให้เกิดขึ้นที่ใจ และ ใจเท่านั้นแหละที่จะทำให้ความสุขเกิดกุศล แต่ไม่ใช่ไปคิดเอาเองว่า ต้องทำพิธีกรรมแบบนี้แล้วจะได้บุญแบบนั้นเพียงแค่อย่างเดียว ทำบุญแล้วก็ต้องทำใจด้วย ควบคู่กันไป อย่างที่หลวงพ่อชา สุภัทโท ท่านเคยสอนเอาไว้ว่า โจรก็ทำบุญได้แต่โจรฝึกทำใจไม่ได้
การมาวัดเราจะได้อะไรบ้าง..ต้องเข้าใจตามความเป็นจริง ไม่ใช่ไปเข้าใจเอาเอง คิดเอาเอง หรือเห็นเขาทำตามๆกันมา
ได้เรียนถามท่านว่า..ทำไมพระไม่ค่อยพูดไม่ค่อยสอนแบบนี้กัน
อาตมาว่า..ท่านก็สอนกันนะแต่โยมไม่ค่อยไม่ได้ยิน
แล้วเรื่องพิธีกรรมต่างๆที่เขานิยมทำกัน
เรื่องพิธีกรรมเป็นองค์ประกอบหนึ่ง เพราะคำว่า ศาสนาต้องประกอบด้วย องค์ศาสดา พิธีกรรม สาวก คำสอนเบื้องต้น ท่ามกลาง และ คำสอนที่สูงสุด พิธีกรรมแต่ละพิธีที่มีมาแต่ครั้งพุทธกาลล้วนสำคัญหมด แต่พิธีกรรมอื่นๆที่มาประดิษฐ์กันใหม่สร้างกันใหม่ก็อีกอย่างหนึ่งและมักจะเป็นไปในข่ายของความมโน ในข่ายของการคิดเอาเองของคนรุ่นหลังๆหลวงพ่อพุทธทาสท่านเรียกพิธีกรรมที่เกิดขึ้นมาใหม่ๆว่า “ศาสนาเนื้องอก”
ท่านปรารถนาให้คนเข้าใจในเรื่องของธรรมะที่แท้จริงแบบนี้ คือ เข้าใจและรู้จักว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง
อาตมาปรารถนาให้เข้าใจในสิ่งที่เป็นไปตามความเป็นจริง มนุษย์ชอบมโน อย่างที่โยมกล่าวมานั่นแหละ มโนว่าจะเกิดสิ่งนั้น สิ่งนี้ ที่สำคัญ มนุษย์ชอบเรียนรู้แต่ อนาคตศาสตร์ อดีตศาสตร์ แต่ทำไม ไม่ค่อยเรียนรู้ ปัจจุบันศาสตร์ตามที่พระพุทธเจ้าสอน
ปัจจุบันศาสตร์ คือ การเรียนรู้อยู่กับความเป็นจริงตรงนี้ ที่นี่ ไม่ใช่ไปคิดเอาเอง เออเอง แล้วก็คาดว่าน่าจะเป็นตรงนั้นตรงนี้ เป็นต้น
ศึกษาปัจจุบันศาสตร์เพื่อให้มี ใจปัจจุบัน อยู่กับความจริงในปัจจุบัน และ มองโลกคิดไปตามความเป็นจริง ไม่ใช่มโน คือ มโนเห็นแต่เรื่องไม่ดีของคนอื่นแต่ลืมกลับมาดูตัวเองว่าเป็นอย่างไร
วันนี้ได้รับฟังสิ่งที่เรียกได้ว่า ทำให้เราฉุกคิด ฉุกถามกันขึ้นในใจว่า เราไปวัดกันทำไม เข้าวัดกันทำไม เมื่อเราเข้าใจคำว่าบุญกุศลแล้ว เข้าใจพิธีกรรมมากขึ้นแล้ว เราก็จะตอบคำถามในใจของเราได้เองว่า เราเข้าวัดไปทำไมกัน
…………………………………………………………………………………………
matemnews.com
22 มกราคม 2562